บทที่ 1
การพัฒนาระบบฐานข้อมูล
ฐานข้อมูล SQL เป็นการจัดเก็บและการดึงข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับองค์กร
คำว่าฐานข้อมูล เป็นการจัดเก็บและดึงข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ฐานข้อมูล หมายถึง ความสัมพันธ์ของข้อมูลที่จีดเก็บไว้เป้นกลุ่ม นอกจากนี้เพื่อให้เกิดระบบ ที่มีกลไลสนับสนุน
ให้ใช้ฐานข้อมุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบฐานข้อมุลประกอบด้วย ฐานข้อมูลโปรแกรมซึ่งมีหน้าที่ดูแลฐานข้อมูลของระบบ ซึ่งเรียกว่า ระบบจัดการบานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลแบ่งตามคุณลักษณะของโมเดลข้อมูลในระบบฐานที่เป็นที่รู้จักได้แก่
1.โมเดลแบบลำดับชั้น(Hierarchical Madel) ลักษณะมีการจัดเก้บข้อมูลในโครงสร้างแบบทรี(Tree)
2.โมเดลแบบเครือข่าย จัดเก็บข้อมุลในโครงสร้างแบบการ์ด
3.โมเดลแบบเชิงสัมพันธ์(Relation Model) เป้นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย จัดเก็บในรูปแบบของเซ็ตของวิชาคณิตศาสตร์
พิจารณาเซ็ตของความสัมพันธ์ จัดเก็บข้อมูลเป็นเทเบิลและคอลัมน์โดยการตัดกันของแต่ละแถวกับแต่ละคอลัมน์ แทนด้วยค่าของข้อมุล
ฐานข้อมุลเชิงสัมพันธ์ จะอยู่ในรูปของตาราง 2 มิติ คือประกอบด้วยแถวและคอมลัมน์
เปรียบเทียบฐานข้อมุลเชิงสัมพันธ์กับระบบการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมุล
DBMS ทำงานอยู่บนพื้นฐานเชิงสัมพันธ์ของโมเดล เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ โดยข้อมูลในระบบการประมวลผลข้อมุลเชิงสัมพันธ์ เรียกว่า รีเลชั่น
ความสัมพันธ์ (Relationship)
หัวใจสำคัญในการออกแบบเทเบิล มีโครงสร้างเชิงสัมพันธ์เพื่อเก็บข้อมุลต่างๆ โดยกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลนั้นได้ ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าข้อมูลนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ความสัมพันธ์มีทั้งหมด 3 ลักษณะ
1.One to One
แถวหนึ่งใน Table สามารถจับคู่กับอีกแถวหนึ่งในอีก Table ได้เพียงแถวเดียวเท่านั้น
2.One to Mary
หนึ่งแถวใน Table สามารถจับคู่กับอีกแถวใน Table หนึ่งได้หลายแถว
3.Many to Many
แถวหลายแถวใน Table มีความสัมพันธ์กับอีกหลายๆแถวในอีก Table หนึ่งพร้อมกัน
วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาว วิชุดา สกุล ชุมกาแสง
เกิดวันที่19เดือน มกราคม พ.ศ 2543
ที่อยู่ปัจจุบัน169/38 ซ.จรัญสนิทวงศ์ 12 แขวง ท่าพระ เขต บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600
โรคประจำตัว ภูมิแพ้
เคยแพ้ยา -
บิดาชื่อ นาย พงษ์วิไล สกุล ชุมกาแสง มือถือ 0856873709
มารดาชื่อ นาง บุญจันทร์ สกุล ชุมกาแสง มือถือ -
อาจารย์ที่ปรึกษา อ.อำภา ธรรมโยธิน
มือถืออาจารย์ที่ปรึกษา 0814134242
เลขที่สัญญากองทุนเพื่อการศึกษา
เลขที่บัตรประชาชน 1 1031 00006 29 9
ชื่อ นางสาว วิชุดา สกุล ชุมกาแสง
เกิดวันที่19เดือน มกราคม พ.ศ 2543
ที่อยู่ปัจจุบัน169/38 ซ.จรัญสนิทวงศ์ 12 แขวง ท่าพระ เขต บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600
โรคประจำตัว ภูมิแพ้
เคยแพ้ยา -
บิดาชื่อ นาย พงษ์วิไล สกุล ชุมกาแสง มือถือ 0856873709
มารดาชื่อ นาง บุญจันทร์ สกุล ชุมกาแสง มือถือ -
อาจารย์ที่ปรึกษา อ.อำภา ธรรมโยธิน
มือถืออาจารย์ที่ปรึกษา 0814134242
เลขที่สัญญากองทุนเพื่อการศึกษา
เลขที่บัตรประชาชน 1 1031 00006 29 9
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552
บทที่2เรื่องการสร้างตาราง
ตอนที่1
1.ข้อใดกล่าวถึงความหมายของตาราง(table)ไดชัดเจนที่สุด
*ค. ออบเจ็กต์ที่อยู่ในฐานข้อมูล
2.ข้อใดต่อไปนี้กล่าวผิด
*ง. Attachmentเป็นชนิดข้อมูลสำหรับสร้างจุงเชื่อมโยง
3.ฟิลด์(Field)หมายถึงอะไร
*ค.คอลัมน์
4.เรคคอร์ด(Record)หมายถึงอะไร
*ก.ตาราง
5.ชนิดข้อมูลแบบข้อความ(Text)สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุดกี่ตัวอักษร
*ค.255
6.ถ้าต้องการกำหนดฟิลด์ในการเก็บข้อความจำนวนมากๆจะต้องเลือกชนิดข้อมูลแบบใด
* ข.Text
7.มุมมองที่ใช้ในการสร้างตารางด้วยการออกแบบเองคือมุมมองแบบใด
*ก.Design View
8.ชนิดความสัมพันธ์ของตารางมีกี่แบบ
*ข.3แบบ
9.ข้อใดต่อไปนี้ไม่สามารถนำมาประกอบในการตั้งฟิลด์ข้อมูลได้
*ง.เครื่องหมายจุด(.)
10.ถ้าต้องการเรียงลำดับข้อมูลในตารางจากน้อยไปหามากจะต้องใช้เครื่องมือใด
-ก.Ascending
ตอนที่2
1. ฌ Field= ข้อมูลในแนวคอลัมน์
2. ง Record=ข้อมูลในแนวแถว
3. จ Memo= เก็บข้อมูลประเภทข้อความที่มีความยาวมากๆ
4. ข OLE Object=เก็บข้อมูลประเภทรูปภาพ
5. ซ Currency=เก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขทางการเงิน
6. ญ Attachment=เก็บเอกสารและแฟ้มไบนารี่ทุกชนิดในฐานข้อมูล
7. ก Input Mask=กำหนดรูปแบบในการป้อนข้อมูล
8. ฉ Format=กำหนดรูปแบบการแสดงข้อมูล
9. ช Descending=เรียงลำดับจากมากไปน้อย
10. ค Ascending=เรียงลำดับข้อมูลจากน้อยไปมาก
ตอนที่3
1.จงอธิบายถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างตาราง
*แบ่งแยกประเภทข้อมูล
2.จงบอกถึงคุณสมบัติในการเลือกฟิลด์ข้อมูลที่นำมาเป็นคีย์หลัก(Primary Key)
*ฟิลด์ที่มีข้อมูลในเรคอร์ดไม่ซ้ำกัน
3.อธิบายถึงความแตกต่างในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบ(Table Design) และมุมมองแผ่นตารางข้อมูล(DataSheet View)
*Table Design เป็นมุมมองที่ใช้ในการกำหนดข้อมูลของตาราง ชนิดข้อมูล คุณสมบัติของฟิลด์แต่ละฟิลด์
Datasheet Viewเป็นมุมมองที่ใช้ในการป้อนข้อมูลที่ต้องการเก็บลงในตาราง
4.จงบอกขั้นตอนในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบมีขั้นตอนอย่างไร
* 1.คลิกที่แท็บ Create
2.เลือกปุ่มคำสั่ง (Table Design)ในกลุ่มของTableจากนั้นAccessจะเปิดตารางข้อมูลเปล่าในมุมมองการออกแบบขั้นมา
3.กำหนดฟิลด์ข้อมูล แล้วกดปุ่ม Tab เพื่อเลือกช่องถัดไป
4.เลือกชนิดข้อมูล
5.กำหนดคำอธิบายฟิลด์
6.กำหนดคุณสมบัติฟิลด์เพิ่มเติม
7.คลิกปุ่ม Save จาก Quick Access Toolbar
8.กำหนดชื่อตาราง
9.คลิกปุ่ม OK
10.จะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ให้กำหนดคีย์หลัก
เขียนโดย somgolfmike ที่ 6:35 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
วันอังคาร, กรกฎาคม 28, 2009
บทที่ 1 เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Aeccss 2007
แบบฝึกหัด บทที่ 1
ตอนที่ 1
1.ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คืออะไร
*ข.ตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล
2.หลังจากที่สร้างฐานข้อมูลแล้ว จะต้องสร้างออบเจ็กอะไรเป็นอันดับแรก
* ก.Table
3.ออบเจ็กต์ใดทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลทั้งหมดลงฐานข้อมูล
* ก.Table
4.ออบเจ็กต์ Query มีหน้าที่อะไร
-ค.สร้างเเบบสอบถามข้อมูล
5.ข้อใดต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของออบเจ็ก form
- ข.เก็บข้อมูลลงฐานข้อมูล
6.ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่ กฎของการ normalizatioh
-ข.จะต้องมีความสัมพันธ์เเบบเชิงกลุ่ม(Many-to-Many)
7.ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชน์ที่ได้รับของระบบฐานข้อมูล
- ค.ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย
8.ขั้นตอนใดต่อไปนี้เป็นขั้นตอนแรกในการออกแบบฐานข้อมูล
- ก.กำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
9.ส่วนประกอบต่อไปนี้เพิ่มเข้ามาใหม่ใน Access 2007 ยกเว้นข้อใด
- ง.Ribbon
10.ข้อใดต่อไปนี้ กล่าวผิด
- ก.เมื่อบันทึกฐานข้อมูลในAccess2007จะมีนามสกุลเป็น .accdb
ตอนที่ 2
1. ช DBMS=ระบบจัดการฐานข้อมูล
2. จ Normalization=กฏที่ใช้ในการออกแบบตาราง
3. ซ Office Button=ปุ่มที่รวบรวมชุดคำสั่งในการจัดการฐานข้อมูล
4. ญ Quick Access Toolbar=แถบเครื่องมือที่รวบรวมปุ่มเครื่องมือที่ใช้งานบ่อยๆเอาไว้
5. ฌ Ribbon=ส่วนในการทำงานใหม่ที่เข้ามาแทนที่แถบเมนูและแถบเครื่องมือ
6. ก Navigation Pane=แถบในการแสดงออบเจ็กต์ที่สร้างขึ้น
7. ค Document Window=ส่วนของพื้นที่ในการทำงานของออบเจ็กต์ต่างๆ
8. ข Query=แบบสอบถามข้อมูล
9. ง Mecro=ชุดคำสั่งกระทำต่างๆที่นำมารวมกัน
10.ฉ Module=โปรแกรมย่อยที่เขียนขึ้นด้วยภาษา VBA
ตอนที่3
1.จงอธิบายถึงความหมายของฐานข้อมูล
-ฐานข้อมูล(Database)คือข้อมูลจำนวนมากที่มีการจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบในลักษณะของตาราง ข้อมูลแต่ละตารางที่มีอยู่นั้นมีความสัมพันธ์กัน
2.ระบบฐานข้อมูลมีประโยชน์อย่างไร
-1.ลดความซับซ้อนของข้อมูล
2.ทำให้เกิดความสอดคล้องของข้อมูล
3.ควบคุมความถูกต้องของข้อมูล
4.สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
5.มีความปลอดภัย
3.ใน Microsoft Access 2007 ประกอบไปด้วยออบเจ็กต์อะไรบ้าง และมีหน้าที่อย่างไร
-1.Table ใช้ในการเก็บข้อมูลทั้งหมด
2.Queries ช่วยค้นหาหรือสร้างแบบสอบถามข้อมูล
3.Froms แบบฟอร์มในการทำงาน สำหรับจัดการกับข้อมูลแทนการจัดการในตาราง
4.Report ใช้ในการสร้างรายงาน
5.Macros ชุดคำสั่งที่นำมาร่วมกันตามขั้นตอนในการทำงานเพื่อให้การทำงานเป็นอัติโนมัติ
6.Modules ช่วยให้ทำงานกับข้อมุลที่ซับซ้อนมากขึ้นได้
4.จงอธิบายหลักการออกแบบฐานข้อมูลมาพอเข้าใจ
-ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ว่าต้องใช้ข้อมูลเรื่องใด ใช้เพื่อทำอะไร ต้องการอะไร สอบถามความต้องการจากผู้ใช้ วิเคราะห์ข้อมูลที่จำเป็นจัดเป็นกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลแต่ละตาราง วิเคราะห์โครงสร้างข้อมูล กำหนดชนิดข้อมูล กำหนดความสัมพันธ์
5.จงยกตัวอย่างระบบงานที่ควรนำระบบฐานข้อมูลมาใช้พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล
-งานทะเบียน เพราะว่าเป็นงานที่ทำเกี่ยวกับประวัติของพนักงานหรือนักเรียนทั้งหมด ซึ่งมีข้อมูลต่างๆหลายอย่าง
ตอนที่1
1.ข้อใดกล่าวถึงความหมายของตาราง(table)ไดชัดเจนที่สุด
*ค. ออบเจ็กต์ที่อยู่ในฐานข้อมูล
2.ข้อใดต่อไปนี้กล่าวผิด
*ง. Attachmentเป็นชนิดข้อมูลสำหรับสร้างจุงเชื่อมโยง
3.ฟิลด์(Field)หมายถึงอะไร
*ค.คอลัมน์
4.เรคคอร์ด(Record)หมายถึงอะไร
*ก.ตาราง
5.ชนิดข้อมูลแบบข้อความ(Text)สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุดกี่ตัวอักษร
*ค.255
6.ถ้าต้องการกำหนดฟิลด์ในการเก็บข้อความจำนวนมากๆจะต้องเลือกชนิดข้อมูลแบบใด
* ข.Text
7.มุมมองที่ใช้ในการสร้างตารางด้วยการออกแบบเองคือมุมมองแบบใด
*ก.Design View
8.ชนิดความสัมพันธ์ของตารางมีกี่แบบ
*ข.3แบบ
9.ข้อใดต่อไปนี้ไม่สามารถนำมาประกอบในการตั้งฟิลด์ข้อมูลได้
*ง.เครื่องหมายจุด(.)
10.ถ้าต้องการเรียงลำดับข้อมูลในตารางจากน้อยไปหามากจะต้องใช้เครื่องมือใด
-ก.Ascending
ตอนที่2
1. ฌ Field= ข้อมูลในแนวคอลัมน์
2. ง Record=ข้อมูลในแนวแถว
3. จ Memo= เก็บข้อมูลประเภทข้อความที่มีความยาวมากๆ
4. ข OLE Object=เก็บข้อมูลประเภทรูปภาพ
5. ซ Currency=เก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขทางการเงิน
6. ญ Attachment=เก็บเอกสารและแฟ้มไบนารี่ทุกชนิดในฐานข้อมูล
7. ก Input Mask=กำหนดรูปแบบในการป้อนข้อมูล
8. ฉ Format=กำหนดรูปแบบการแสดงข้อมูล
9. ช Descending=เรียงลำดับจากมากไปน้อย
10. ค Ascending=เรียงลำดับข้อมูลจากน้อยไปมาก
ตอนที่3
1.จงอธิบายถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างตาราง
*แบ่งแยกประเภทข้อมูล
2.จงบอกถึงคุณสมบัติในการเลือกฟิลด์ข้อมูลที่นำมาเป็นคีย์หลัก(Primary Key)
*ฟิลด์ที่มีข้อมูลในเรคอร์ดไม่ซ้ำกัน
3.อธิบายถึงความแตกต่างในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบ(Table Design) และมุมมองแผ่นตารางข้อมูล(DataSheet View)
*Table Design เป็นมุมมองที่ใช้ในการกำหนดข้อมูลของตาราง ชนิดข้อมูล คุณสมบัติของฟิลด์แต่ละฟิลด์
Datasheet Viewเป็นมุมมองที่ใช้ในการป้อนข้อมูลที่ต้องการเก็บลงในตาราง
4.จงบอกขั้นตอนในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบมีขั้นตอนอย่างไร
* 1.คลิกที่แท็บ Create
2.เลือกปุ่มคำสั่ง (Table Design)ในกลุ่มของTableจากนั้นAccessจะเปิดตารางข้อมูลเปล่าในมุมมองการออกแบบขั้นมา
3.กำหนดฟิลด์ข้อมูล แล้วกดปุ่ม Tab เพื่อเลือกช่องถัดไป
4.เลือกชนิดข้อมูล
5.กำหนดคำอธิบายฟิลด์
6.กำหนดคุณสมบัติฟิลด์เพิ่มเติม
7.คลิกปุ่ม Save จาก Quick Access Toolbar
8.กำหนดชื่อตาราง
9.คลิกปุ่ม OK
10.จะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ให้กำหนดคีย์หลัก
เขียนโดย somgolfmike ที่ 6:35 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
วันอังคาร, กรกฎาคม 28, 2009
บทที่ 1 เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Aeccss 2007
แบบฝึกหัด บทที่ 1
ตอนที่ 1
1.ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คืออะไร
*ข.ตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล
2.หลังจากที่สร้างฐานข้อมูลแล้ว จะต้องสร้างออบเจ็กอะไรเป็นอันดับแรก
* ก.Table
3.ออบเจ็กต์ใดทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลทั้งหมดลงฐานข้อมูล
* ก.Table
4.ออบเจ็กต์ Query มีหน้าที่อะไร
-ค.สร้างเเบบสอบถามข้อมูล
5.ข้อใดต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของออบเจ็ก form
- ข.เก็บข้อมูลลงฐานข้อมูล
6.ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่ กฎของการ normalizatioh
-ข.จะต้องมีความสัมพันธ์เเบบเชิงกลุ่ม(Many-to-Many)
7.ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชน์ที่ได้รับของระบบฐานข้อมูล
- ค.ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย
8.ขั้นตอนใดต่อไปนี้เป็นขั้นตอนแรกในการออกแบบฐานข้อมูล
- ก.กำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
9.ส่วนประกอบต่อไปนี้เพิ่มเข้ามาใหม่ใน Access 2007 ยกเว้นข้อใด
- ง.Ribbon
10.ข้อใดต่อไปนี้ กล่าวผิด
- ก.เมื่อบันทึกฐานข้อมูลในAccess2007จะมีนามสกุลเป็น .accdb
ตอนที่ 2
1. ช DBMS=ระบบจัดการฐานข้อมูล
2. จ Normalization=กฏที่ใช้ในการออกแบบตาราง
3. ซ Office Button=ปุ่มที่รวบรวมชุดคำสั่งในการจัดการฐานข้อมูล
4. ญ Quick Access Toolbar=แถบเครื่องมือที่รวบรวมปุ่มเครื่องมือที่ใช้งานบ่อยๆเอาไว้
5. ฌ Ribbon=ส่วนในการทำงานใหม่ที่เข้ามาแทนที่แถบเมนูและแถบเครื่องมือ
6. ก Navigation Pane=แถบในการแสดงออบเจ็กต์ที่สร้างขึ้น
7. ค Document Window=ส่วนของพื้นที่ในการทำงานของออบเจ็กต์ต่างๆ
8. ข Query=แบบสอบถามข้อมูล
9. ง Mecro=ชุดคำสั่งกระทำต่างๆที่นำมารวมกัน
10.ฉ Module=โปรแกรมย่อยที่เขียนขึ้นด้วยภาษา VBA
ตอนที่3
1.จงอธิบายถึงความหมายของฐานข้อมูล
-ฐานข้อมูล(Database)คือข้อมูลจำนวนมากที่มีการจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบในลักษณะของตาราง ข้อมูลแต่ละตารางที่มีอยู่นั้นมีความสัมพันธ์กัน
2.ระบบฐานข้อมูลมีประโยชน์อย่างไร
-1.ลดความซับซ้อนของข้อมูล
2.ทำให้เกิดความสอดคล้องของข้อมูล
3.ควบคุมความถูกต้องของข้อมูล
4.สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
5.มีความปลอดภัย
3.ใน Microsoft Access 2007 ประกอบไปด้วยออบเจ็กต์อะไรบ้าง และมีหน้าที่อย่างไร
-1.Table ใช้ในการเก็บข้อมูลทั้งหมด
2.Queries ช่วยค้นหาหรือสร้างแบบสอบถามข้อมูล
3.Froms แบบฟอร์มในการทำงาน สำหรับจัดการกับข้อมูลแทนการจัดการในตาราง
4.Report ใช้ในการสร้างรายงาน
5.Macros ชุดคำสั่งที่นำมาร่วมกันตามขั้นตอนในการทำงานเพื่อให้การทำงานเป็นอัติโนมัติ
6.Modules ช่วยให้ทำงานกับข้อมุลที่ซับซ้อนมากขึ้นได้
4.จงอธิบายหลักการออกแบบฐานข้อมูลมาพอเข้าใจ
-ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ว่าต้องใช้ข้อมูลเรื่องใด ใช้เพื่อทำอะไร ต้องการอะไร สอบถามความต้องการจากผู้ใช้ วิเคราะห์ข้อมูลที่จำเป็นจัดเป็นกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลแต่ละตาราง วิเคราะห์โครงสร้างข้อมูล กำหนดชนิดข้อมูล กำหนดความสัมพันธ์
5.จงยกตัวอย่างระบบงานที่ควรนำระบบฐานข้อมูลมาใช้พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล
-งานทะเบียน เพราะว่าเป็นงานที่ทำเกี่ยวกับประวัติของพนักงานหรือนักเรียนทั้งหมด ซึ่งมีข้อมูลต่างๆหลายอย่าง
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
แบบอักษร
AOM
AOM
AOM
AOM
AOM
AOM
AOM
สีบลู
ข้อความอยู่กึ่งกลาง
AOM
AOM
AOM
AOM
AOM
AOM
สีบลู
รูปแบบตัวอักษร
ตัวอักษรหนา
ตัวอักษรเอน
ขีดเส้นใต้ตัวอักษร
ตัวอักษรพิมพ์ดีด
ข้อความชิดซ้าย
ข้อความชิดขวา
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมุดสะสมความดี-เก่ง หน้า 1
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาววิชุดา สกุล ชุมกาแสง
เกิดวันที่ 19 เดือน มกราคม พ.ศ.2534
ที่อยู่ปัจจุบัน 169/38 จรัญสนิทวงศ์ 12 แขวง ท่าพระ เขต บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600
สุขภาพ หมู่เลือด 0
โรคประจำตัว ภูมิแพ้
เคยแพ้ยา –
บิดาชื่อ นายพงษ์วิไล ชุมกาแสง มือถือ 0856873709
มารดาชื่อ นาง บุญจันทร์ ชุมกาแสง มือถือ 0826437052
อาจารย์ที่ปรึกษา อ.อำภา ธรรมโยธิน
มือถืออาจารย์ที่ปรึกษา 0814134242
เลขที่สัญญากองทุนเพื่อการศึกษา
เลขที่บัตรประชาชน 1460700162989
ชื่อ นางสาววิชุดา สกุล ชุมกาแสง
เกิดวันที่ 19 เดือน มกราคม พ.ศ.2534
ที่อยู่ปัจจุบัน 169/38 จรัญสนิทวงศ์ 12 แขวง ท่าพระ เขต บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600
สุขภาพ หมู่เลือด 0
โรคประจำตัว ภูมิแพ้
เคยแพ้ยา –
บิดาชื่อ นายพงษ์วิไล ชุมกาแสง มือถือ 0856873709
มารดาชื่อ นาง บุญจันทร์ ชุมกาแสง มือถือ 0826437052
อาจารย์ที่ปรึกษา อ.อำภา ธรรมโยธิน
มือถืออาจารย์ที่ปรึกษา 0814134242
เลขที่สัญญากองทุนเพื่อการศึกษา
เลขที่บัตรประชาชน 1460700162989
วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
บทที่ 5 ระบบเครือข่ายเบื้องต้น
1.ความหมายของระบบเครือข่ายคือระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง นำมาเชื่อมต่อเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสามารถใช้งานแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารรวมถึงการใช้ทรัพยากรบางอย่างของระบบร่วมกันได้
การนำเอาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้งาน1.ใช้ทรัพยากรร่วมกัน คือเพื่อใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน ซึ่งจะประหยัดกว่าการมีอุปกรณ์เหล่านี้หลาย ๆ ชุด2.ใช้ข้อมูลในไฟล์ร่วมกัน คือ ข้อมูลชุดเดียวกันสามารถเรียกใช้งานได้จากหลายๆ เครื่อง3.ความสะดวกในการดูแลระบบคือทำให้สามารถดูแลและบริหารระบบได้จากที่เดียวกัน
ประเภทของเครือข่าย
แบ่งได้กว้างๆ 2ลักษณะ
LAN เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระยะจำกัด
WAN เป็นการเชื่อมต่อแลนในสถานที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านระบบสื่อสารอื่น ๆ
ข้อจำกัดของระบบเครือข่าย
1.การเรียกใช้ข้อมูลทำได้ช้า ระบบเครือข่ายการเรียกข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการอ่านหรือเขียนก็ตาม มักจะช้ากว่าการอ่านหรือเขียนกับฮาร์ดดิสก์ หากเป็นระบบเครือข่ายความเร็วสูงก็อาจจะช้าไม่มากนัก
2.ข้อมูลไม่สามารถใช้งานได้ทันที อุปกรณ์ที่แบ่งกันใช้อาจไม่สามารถเรียกใช้ทันที เพราะหากมีคนอื่นใช้อยู่ ต้องเข้าคิวรอ ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะงาน
3.ยากต่อการควบดูแล การนำระบบคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง ซึ่งทำงานเป็นอิสระจากกัน แต่จัดให้ทำงานร่วมกัน ย่อมมีความสลับซับซ้อนและยากในการดูแลกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งสามารถสั่งงานได้ตามต้องการ ไม่เหมือนกับการดูแลระบบระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกัน มีโอกาสที่จะถูกผู้อื่นแอบเข้ามาใช้งาน
2.องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
2.1 อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์1.การ์ดแลน เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับสาย LAN ด้านหลังการ์ดจะมีช่องสำหรับเสียบสายเคเบิล
2.ฮับ/สวิตช์ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการต่อระบบเครือข่าย ข้อดีของการใช้ฮับ คือทำให้เกิดลักษณะการเดินสายที่คล้ายกับ Star แต่ทำงานในแบบ Bus คือทุกๆ node จะสามารถส่งสัญญาณถึงกันได้หมดแต่ถ้ามี node ไหนทมีปัญหาก็สามารถดึงออกได้ง่าย
2.2 ซอฟต์แวร์ คือโปรแกรมต่าง ๆ ตั้งแต่โปรแกรมที่เป็นไดรเวอร์คอมคุมการ์ดแลนโปรแกรมที่จัดการโปรโตคอล ในการติดต่อสื่อสาร
2.3 สื่อกลางนำข้อมูล สื่อกลางนำข้อมูลในระบบเครือข่าย เริ่มตั้งแต่สายเคเบิลต่าง ๆ มีหลักการพิจารณา ดังนี้
1.สายเคเบิล สายโคแอกเชี่ยล เป็นสายเส้นเดียวแบบที่มีเปลือกสายเป็นโลหะถัก เพื่อป้องกันคลื่นรบกวนมี 2 แบบ คือ แบบหนา และ แบบบาง โดยมากใช้กับเครือข่ายแบบ Ethernet แบบเดิม ซึ่งสามารถใช้ต่อเชื่อมระหว่างแต่ละเครื่องโดยตรง
2.สาย UTP เป็นสายขนาดเล็กคล้ายสายโทรศัพท์มี 8 ตีเกลียวเป็นคู่ ๆ เพื่อลดสัญญาณรบกวน แต่ไม่มีเปลือกเป็นโลหะถัก ทำให้กะทัดรัดกว่า แต่ลักษณะการเดินสายต้องต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับ Hub เท่านั้น
3.สาย STP เป็นสายคู่เล็ก ๆ ตีเกลียวไขว้กันแบบสาย UTP แต่มีฉนวนหรือเปลือกหุ้มเป็นโลหะถักเพื่อป้องกันสัญญาณ ใช้เชื่อมต่อเป็นระยะทางไกลเกินกว่าที่จะใช้สาย UTP ได้ หรือใช้กับ LAN แต่ไม่แพร่หลายมากนัก
4.สายใยแก้วนำแสง เป็นสายที่ใช้กับการส่งสัญญาณด้วยแสง ซึ่งจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษโดยเฉพาะ มีข้อดีที่ส่งได้เป็นระยะไกล โดยไม่มีสัญญาณรบกวน และมักใช้ในกรณีที่เป็นโครงข่ายหลักเชื่อมระหว่างเครือข่ายย่อย ๆ มากกว่าลักษณะของสัญญาณไฟฟ้าที่รับส่งกันปกติคอมพิวเตอร์ทำงานกับสัญญาณที่เป็นระบบ ดิจิตอล หรือแรงดันไฟฟ้าสูงกับต่ำ ในระบบเครือข่าย การส่งข้อมูลในลักษณะของสัญญาณดิจิตอลแบบนี้เรียกว่า Baseband คือ ใช้ความถี่พื้นฐานของสัญญาณข้อมูลจริง แต่การส่งแบบนี้มีปัญหาคือ ถูกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือสัญญาณรบกวนต่าง ๆ ได้ง่าย จึงมีการนำเอาคลื่นความถี่สูงเข้ามาใช้เป็นคลื่นพาหะ โดยผสมสัญญาณข้อมูลเข้ากับคลื่นพาหะนี้ในแบบของการผสมทางความถี่
ลักษณะการแบ่งกันใช้สาย
1.แบบ CSMA/CD วิธีนี้ใช้ในกรณีของ Ethernet รวมถึงมาตรฐานใหม่ ๆ เช่น Fast Ethernet ด้วย โดยในขณะใดขณะหนึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะคอยว่าสายว่างหรือไม่ ถ้าพบว่าสายว่างจะส่งสัญญาณออกมา ซึ่งถ้าสายข้อมูลว่างจริงข้อมูลก็จะไปถึงผู้รับได้เลย แต่การเริ่มส่งสัญญาณนี้อาจเกิดขึ้นจากหลาย ๆ สถานีพร้อม ๆ กันได้เพราะต่างคนต่าง คอยและเข้าใจว่าว่างพร้อมกัน ผลก็คือสัญญาณที่ได้จะชนกันในสายทำให้ข้อมูลใช้ไม่ได้
เครื่องที่ส่งข้อมูลก็จะต้องสามารถตรวจจับการชนกันหรือ Collision detection ได้
2.แบบ Token-passing วิธีนี้ใช้หลักที่ว่าในขณะใดขณะหนึ่งจะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวใน LAN ที่มีสิทธิ์ในการรับส่งข้อมูล โดยมีรหัสที่เรียกว่า Token เก็บไว้ เมื่อส่งข้อมูลออกไปเสร็จแล้วก็จะส่งรหัส Token นี้ออกไปให้เครื่องอื่น ๆ ตามลำดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ถ้าเครื่องไหน เมื่อได้รับรหัสแล้ว ยังไม่ต้องการส่งข้อมูลก็จะส่ง Token ต่อไปให้เครื่องอื่นตามลำดับ3.มาตรฐานของระบบเครือข่าย
ระบบLAN ที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะทางฮาร์ดแวร์ที่ยึดมาตรฐานของสถาบันวิศวกรรมและอิเล็กทรอนิกส์สหรัฐ ฯ หรือ IEEE โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ อีเทอร์เน็ต และ Token-Ringโดยมีเกณฑ์หรือโปรโตคอลแบบCSMA/CD ซึ่งเป็นชื่อมาตรฐานของ Ethernet นั้นจะแยกแยะได้ด้วยรหัสด้งนี้
-ความเร็ว หมายถึง ตัวบอกว่าระบบนั้นทำความเร็วได้เท่าไร ปัจจุบันมีใช้กันคือ 10,100 หรือ 1000 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นค่าเลขนี้จะเป็นค่าสูงสุดที่ระบบ LAN นั้นทำได้ในกรณีที่ไม่มีอุปสรรคอื่นใดมาถ่วงให้ช้าลง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะได้ความเร็วต่ำกว่านี้มาก และการนำไปใช้เทียบเท่ากับค่าอื่น ๆ-วิธีการส่งสัญญาณ ปกติรหัสที่ใช้บอกการส่งสัญญาณทางไฟฟ้าบนระบบ Ethernet จะมี 2 ลักษณะคือ Baseband และ Broadband Baseband คือส่งเป็นสัญญาณแบบดิจิตอล 0 และ 1 หรือแรงดันไฟฟ้า 0 และ 5 โวลต์ โดยไม่มีการแสดงผสมสัญญาณกับความถี่สูงอื่นใด วิธีนี้การทำงานจะง่ายทั้งวงจรรับส่งข้อมูลแต่จะถูกรบกวนได้ง่ายและส่งได้ระยะทางไม่ไกล นอกจากนี้ในสายเส้นหนึ่ง ๆ ยังส่งสัญญาณแบบนี้ได้เพียงชุดเดียวเท่านั้น
Broadband คือ การผสมสัญญาณข้อมูลที่จะส่งเข้ากับสัญญาณอนาล็อกหรือคลื่นพาหะที่มีความสูง เพื่อให้ส่งได้ไกลและมีความเพี้ยนน้อยกว่าแบบแรก นอกจากนี้ยังสามารถส่งได้หลายช่องทางสัญญาณหรือหลายแชนเนล โดยจัดการให้ข้อมูลชุดหนึ่งผสมกับสัญญาณที่ความถี่ช่วงหนึ่งนับเป็น 1 แชนเนล พอมีข้อมูลอีกชุดหนึ่งก็เลี่ยงไปใช้การผสมเข้ากับความถี่อื่น ๆที่ห่างออกไปมากพอที่จะไม่รบกวนกัน-สายที่ใช้ Ethernet แบบดังเดิมนั้นมีความเร็วเพียง 10 Mbps และมีการต่อสาย
3 แบบ ต่อมามีสายไฟเบอร์ออปติก เพิ่มขึ้นมาและสาย UTP ก็พัฒนาขึ้นจนทำความเร็วได้เป็น 1000 Mbps -Fast Ethernet และ Gigabit EthernetEhernet ในปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มจาก 10 Mbps เป็น 100 และ 1,000 Mbps หรือมากกกว่านี้ ซึ่งสามารถใช้กับข้อมูลขนาดใหญ่หรือภาพนิ่ง หรือข้อมูลที่ต้องรับส่งให้ได้ตามเวลาจริง-Token-Ringเป็นระบบ LAN ต่อในแบบ Ring และใช้การควบคุมแบบ Token-passing ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม สายที่ใช้จะเป็นเคเบิลแบบพิเศษมี 2 คู่ ต่อเข้ากับ Hub ที่เรียกว่า MAU ซึ่ง 1 ตัวสามารถต่อได้ 8 เครื่อง และพ่วงระหว่าง MAU แต่ละตัวเข้าด้วยกันได้อีก เกิดเป็นลักษณะที่เห็นลกสายจาก MAU ไปยังแต่ละเครื่องเหมือนกับดาวกระจายหรือแบบ Star แต่ถ้าตรวจสอบสายจะเป็นแบบวงแหวน
-FDDI เป็นมาตรฐานการต่อระบบเครือข่ายโดยอาศัยสาย Fiber Optic ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 100 Mbps กับ Fast Ethernet พื้นฐานลักษณะของ FDDI จะต่อเป็น Ring ที่มีสายสองชั้นเดินคู่ขนานกัน เพื่อสำรองในกรณีเกิดสายขาดขึ้น
4.ระบบเครือข่ายแบบไร้สายWireless LANระบบเครือข่าแบบไร้สายคือเครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุในการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องของการไม่ต้องเดินสายเหมือนกับระบบ LAN แบบอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในบ้านที่ซึ่งไม่สะดวกในการเดินสาย และเป็นที่ไม่มีปัญหาเรื่องการรบกวนของสัญญาณวิทยุมากนักการทำงานของ Wireless LANทำงานโดนใช้คลื่นวิทยุรับส่งกันระหว่างอุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง กับจุดเข้าใช้เรียกว่า “Access Point” ซึ่งเป็นตัวกลางในติดต่อถึงกัน ระหว่างอุปกรณ์รับส่งแต่ละเครื่องความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ LAN แบบไร้สายสิ่งที่ควรคำนึงถึงการใช้เครือข่ายแบบไร้สาย คือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากข้อมูลลูกส่งไปในอากาศ ซึ่งสามารถถูกดักจับได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการเข้ารหัสที่เรียกว่า WEP แต่ปัจจุบันกำลังถูกมองว่าวิธีนี้ยังไม่ปลอดภัยเท่าที่ควรจึงมีกรออกแบบมาตรฐานใหม่คือ WPA ซึ่งปลอดภัยกว่าแต่จะใช้ได้กับอุปกรณ์รุ่นใหม่ ๆ เท่านั้น อุปกรณ์ในติดตั้งระบบ Wi-Fi
1.Access Point สามารถกำหนดค่า IP ในรูปแบบอัตโนมัติ หรือ Dynamic Host Configuration Protocol สามารถเชื่อมต่อกับ Network Switch หรือ HUB ได้โดยผ่านสาย LAN สามารถทำงานในลักษณะ Router ซึ่งทำให้ผู้คนหลายคน สามารถใช้งานระบบ Broadband ได้
2.Wireless Adapter เป็นอุปกรณ์ซึ่งต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายไร้สาย โดยการทำงานของ Wireless Adapter จะเป็นลักษณะการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุแบบ Two-way ทั้งรับทั้งส่งรูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สาย1.แบบ Peer-to-peerเป็นลักษณะการเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือมากกว่านั้น เป็นการใช้งานร่วมกันของ Wireless Adapter cards โดยไม่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายแบบใช้สายเลย โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทำงานได้และขอใช้บริการเครื่องอื่นได้
2.แบบ Client/Serverเป็นลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย Access Point หรือเรียกว่า “Hot spot”ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย โดยกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อรับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมี3.แบบ Multiple access points and roamingเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับ Access Point ของเครือข่ายไร้สาย จะอยู่ในรัศมีประมาณ 500 ฟุต ภายในอาคารและ 1,000 ฟุต ภายนอกอาคาร หากสถานที่ที่ติดตั้งมีขนาดกว้างมากๆ
4.แบบ Use of an Extension Pointกรณีที่โครงสร้างของสถานที่ติดตั้งเครือข่ายแบบไร้สายมีปัญหา ผู้ออกแบบระบบอาจจะใช้ Extension Point ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สายเป็นส่วนที่ใช้เพิ่มเติมในการรับส่งสัญญาณ5.แบบ The Use of Directional Antennasระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่าง
5.การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายการทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย เครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายเรียกว่า”เซิร์ฟเวอร์”เป็นเครื่องที่ให้บริการแก่แก่เครื่องอื่น เครื่องลูกข่ายหรือเรียกว่า”ไคลเอนท์”หรือบางครั้งเรียกว่า “เวิร์กสเตชั่น” โดยทั่วทั่วไปการจัดแบ่งหน้าที่การทำงานของคอมพิเตอร์ระบบเครือข่ายไว้ 2แบบใหญ่ คือแบบที่ทุกเครื่องมีศักดิ์ศรีเท่ากันเรียกว่า Peer-to-Peer หมายถึงแต่ละเครื่องจะยอมให้เครื่องอื่น ๆ ในระบบเข้ามาใช้ข้อมูล หรืออุปกรณ์ต่าง ๆได้ โดยเสมอภาคภาคกันแบบที่เรียกว่า”Server-based” หรือ “Dedicated Server”
1.อุปกรณ์ Repeater ใช้เมื่อสายที่มีต่อมีความยาวเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด ไม่สามารถรับสัญญาณได้จึงต้องเพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า “รีพีตเตอร์” เพื่อทำหน้าที่ทวนสัญญาณ ช่วยขยายสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งบนสายแลนให้ไกลขึ้น แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถกลั่นกรองข้อมูลที่ส่งผ่านได้ ซึ่งเหมือนกับ Hub ที่ใช้กันในระบบ LAN
2.อุปกรณ์ Bridge ทำหน้าที่เป็นสะพานข้อมูลที่ส่งข้อมูลที่ส่งออกมาในเครือหนึ่งมีปลายทางอยู่ สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่เพียงเครือข่าย โดยข้อมูลที่ส่งออกมาในเครือข่ายหนึ่งมีปลายทางอยู่อีกเครือข่ายหนึ่ง บริดจ์จะส่งข้อมูลข้ามไปให้สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายใหญ่เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยเหล่านั้น
3.อุปกรณ์ Switch ทำหน้าที่รวบรวมสัญญาณหรือ เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานในลักษณะบริดจ์ แบ่งสาย 1 เส้น หรือ 1 พอร์ต เป็น 1 เครือข่าย ข้อมูลใด ๆ ที่ถูกส่งเข้ามาทางพอร์ต จะถูกต้องส่งต่อออกไปเฉพาะพอร์ตที่ต่อกับผู้รับเท่านั้น
4.อุปกรณ์ Router ทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ Node หนึ่งในระบบ หนึ่งในระบบ LAN รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อยังปลายทาง คล้ายกับ Switch และ Bridge ทำหน้าที่หลักคือ หาเส้นทางที่ดีสุดในการส่งข้อมูลต่อไปยังเครือข่ายอื่น ด
การนำเอาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้งาน1.ใช้ทรัพยากรร่วมกัน คือเพื่อใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน ซึ่งจะประหยัดกว่าการมีอุปกรณ์เหล่านี้หลาย ๆ ชุด2.ใช้ข้อมูลในไฟล์ร่วมกัน คือ ข้อมูลชุดเดียวกันสามารถเรียกใช้งานได้จากหลายๆ เครื่อง3.ความสะดวกในการดูแลระบบคือทำให้สามารถดูแลและบริหารระบบได้จากที่เดียวกัน
ประเภทของเครือข่าย
แบ่งได้กว้างๆ 2ลักษณะ
LAN เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระยะจำกัด
WAN เป็นการเชื่อมต่อแลนในสถานที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านระบบสื่อสารอื่น ๆ
ข้อจำกัดของระบบเครือข่าย
1.การเรียกใช้ข้อมูลทำได้ช้า ระบบเครือข่ายการเรียกข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการอ่านหรือเขียนก็ตาม มักจะช้ากว่าการอ่านหรือเขียนกับฮาร์ดดิสก์ หากเป็นระบบเครือข่ายความเร็วสูงก็อาจจะช้าไม่มากนัก
2.ข้อมูลไม่สามารถใช้งานได้ทันที อุปกรณ์ที่แบ่งกันใช้อาจไม่สามารถเรียกใช้ทันที เพราะหากมีคนอื่นใช้อยู่ ต้องเข้าคิวรอ ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะงาน
3.ยากต่อการควบดูแล การนำระบบคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง ซึ่งทำงานเป็นอิสระจากกัน แต่จัดให้ทำงานร่วมกัน ย่อมมีความสลับซับซ้อนและยากในการดูแลกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งสามารถสั่งงานได้ตามต้องการ ไม่เหมือนกับการดูแลระบบระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกัน มีโอกาสที่จะถูกผู้อื่นแอบเข้ามาใช้งาน
2.องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
2.1 อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์1.การ์ดแลน เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับสาย LAN ด้านหลังการ์ดจะมีช่องสำหรับเสียบสายเคเบิล
2.ฮับ/สวิตช์ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการต่อระบบเครือข่าย ข้อดีของการใช้ฮับ คือทำให้เกิดลักษณะการเดินสายที่คล้ายกับ Star แต่ทำงานในแบบ Bus คือทุกๆ node จะสามารถส่งสัญญาณถึงกันได้หมดแต่ถ้ามี node ไหนทมีปัญหาก็สามารถดึงออกได้ง่าย
2.2 ซอฟต์แวร์ คือโปรแกรมต่าง ๆ ตั้งแต่โปรแกรมที่เป็นไดรเวอร์คอมคุมการ์ดแลนโปรแกรมที่จัดการโปรโตคอล ในการติดต่อสื่อสาร
2.3 สื่อกลางนำข้อมูล สื่อกลางนำข้อมูลในระบบเครือข่าย เริ่มตั้งแต่สายเคเบิลต่าง ๆ มีหลักการพิจารณา ดังนี้
1.สายเคเบิล สายโคแอกเชี่ยล เป็นสายเส้นเดียวแบบที่มีเปลือกสายเป็นโลหะถัก เพื่อป้องกันคลื่นรบกวนมี 2 แบบ คือ แบบหนา และ แบบบาง โดยมากใช้กับเครือข่ายแบบ Ethernet แบบเดิม ซึ่งสามารถใช้ต่อเชื่อมระหว่างแต่ละเครื่องโดยตรง
2.สาย UTP เป็นสายขนาดเล็กคล้ายสายโทรศัพท์มี 8 ตีเกลียวเป็นคู่ ๆ เพื่อลดสัญญาณรบกวน แต่ไม่มีเปลือกเป็นโลหะถัก ทำให้กะทัดรัดกว่า แต่ลักษณะการเดินสายต้องต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับ Hub เท่านั้น
3.สาย STP เป็นสายคู่เล็ก ๆ ตีเกลียวไขว้กันแบบสาย UTP แต่มีฉนวนหรือเปลือกหุ้มเป็นโลหะถักเพื่อป้องกันสัญญาณ ใช้เชื่อมต่อเป็นระยะทางไกลเกินกว่าที่จะใช้สาย UTP ได้ หรือใช้กับ LAN แต่ไม่แพร่หลายมากนัก
4.สายใยแก้วนำแสง เป็นสายที่ใช้กับการส่งสัญญาณด้วยแสง ซึ่งจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษโดยเฉพาะ มีข้อดีที่ส่งได้เป็นระยะไกล โดยไม่มีสัญญาณรบกวน และมักใช้ในกรณีที่เป็นโครงข่ายหลักเชื่อมระหว่างเครือข่ายย่อย ๆ มากกว่าลักษณะของสัญญาณไฟฟ้าที่รับส่งกันปกติคอมพิวเตอร์ทำงานกับสัญญาณที่เป็นระบบ ดิจิตอล หรือแรงดันไฟฟ้าสูงกับต่ำ ในระบบเครือข่าย การส่งข้อมูลในลักษณะของสัญญาณดิจิตอลแบบนี้เรียกว่า Baseband คือ ใช้ความถี่พื้นฐานของสัญญาณข้อมูลจริง แต่การส่งแบบนี้มีปัญหาคือ ถูกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือสัญญาณรบกวนต่าง ๆ ได้ง่าย จึงมีการนำเอาคลื่นความถี่สูงเข้ามาใช้เป็นคลื่นพาหะ โดยผสมสัญญาณข้อมูลเข้ากับคลื่นพาหะนี้ในแบบของการผสมทางความถี่
ลักษณะการแบ่งกันใช้สาย
1.แบบ CSMA/CD วิธีนี้ใช้ในกรณีของ Ethernet รวมถึงมาตรฐานใหม่ ๆ เช่น Fast Ethernet ด้วย โดยในขณะใดขณะหนึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะคอยว่าสายว่างหรือไม่ ถ้าพบว่าสายว่างจะส่งสัญญาณออกมา ซึ่งถ้าสายข้อมูลว่างจริงข้อมูลก็จะไปถึงผู้รับได้เลย แต่การเริ่มส่งสัญญาณนี้อาจเกิดขึ้นจากหลาย ๆ สถานีพร้อม ๆ กันได้เพราะต่างคนต่าง คอยและเข้าใจว่าว่างพร้อมกัน ผลก็คือสัญญาณที่ได้จะชนกันในสายทำให้ข้อมูลใช้ไม่ได้
เครื่องที่ส่งข้อมูลก็จะต้องสามารถตรวจจับการชนกันหรือ Collision detection ได้
2.แบบ Token-passing วิธีนี้ใช้หลักที่ว่าในขณะใดขณะหนึ่งจะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวใน LAN ที่มีสิทธิ์ในการรับส่งข้อมูล โดยมีรหัสที่เรียกว่า Token เก็บไว้ เมื่อส่งข้อมูลออกไปเสร็จแล้วก็จะส่งรหัส Token นี้ออกไปให้เครื่องอื่น ๆ ตามลำดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ถ้าเครื่องไหน เมื่อได้รับรหัสแล้ว ยังไม่ต้องการส่งข้อมูลก็จะส่ง Token ต่อไปให้เครื่องอื่นตามลำดับ3.มาตรฐานของระบบเครือข่าย
ระบบLAN ที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะทางฮาร์ดแวร์ที่ยึดมาตรฐานของสถาบันวิศวกรรมและอิเล็กทรอนิกส์สหรัฐ ฯ หรือ IEEE โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ อีเทอร์เน็ต และ Token-Ringโดยมีเกณฑ์หรือโปรโตคอลแบบCSMA/CD ซึ่งเป็นชื่อมาตรฐานของ Ethernet นั้นจะแยกแยะได้ด้วยรหัสด้งนี้
-ความเร็ว หมายถึง ตัวบอกว่าระบบนั้นทำความเร็วได้เท่าไร ปัจจุบันมีใช้กันคือ 10,100 หรือ 1000 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นค่าเลขนี้จะเป็นค่าสูงสุดที่ระบบ LAN นั้นทำได้ในกรณีที่ไม่มีอุปสรรคอื่นใดมาถ่วงให้ช้าลง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะได้ความเร็วต่ำกว่านี้มาก และการนำไปใช้เทียบเท่ากับค่าอื่น ๆ-วิธีการส่งสัญญาณ ปกติรหัสที่ใช้บอกการส่งสัญญาณทางไฟฟ้าบนระบบ Ethernet จะมี 2 ลักษณะคือ Baseband และ Broadband Baseband คือส่งเป็นสัญญาณแบบดิจิตอล 0 และ 1 หรือแรงดันไฟฟ้า 0 และ 5 โวลต์ โดยไม่มีการแสดงผสมสัญญาณกับความถี่สูงอื่นใด วิธีนี้การทำงานจะง่ายทั้งวงจรรับส่งข้อมูลแต่จะถูกรบกวนได้ง่ายและส่งได้ระยะทางไม่ไกล นอกจากนี้ในสายเส้นหนึ่ง ๆ ยังส่งสัญญาณแบบนี้ได้เพียงชุดเดียวเท่านั้น
Broadband คือ การผสมสัญญาณข้อมูลที่จะส่งเข้ากับสัญญาณอนาล็อกหรือคลื่นพาหะที่มีความสูง เพื่อให้ส่งได้ไกลและมีความเพี้ยนน้อยกว่าแบบแรก นอกจากนี้ยังสามารถส่งได้หลายช่องทางสัญญาณหรือหลายแชนเนล โดยจัดการให้ข้อมูลชุดหนึ่งผสมกับสัญญาณที่ความถี่ช่วงหนึ่งนับเป็น 1 แชนเนล พอมีข้อมูลอีกชุดหนึ่งก็เลี่ยงไปใช้การผสมเข้ากับความถี่อื่น ๆที่ห่างออกไปมากพอที่จะไม่รบกวนกัน-สายที่ใช้ Ethernet แบบดังเดิมนั้นมีความเร็วเพียง 10 Mbps และมีการต่อสาย
3 แบบ ต่อมามีสายไฟเบอร์ออปติก เพิ่มขึ้นมาและสาย UTP ก็พัฒนาขึ้นจนทำความเร็วได้เป็น 1000 Mbps -Fast Ethernet และ Gigabit EthernetEhernet ในปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มจาก 10 Mbps เป็น 100 และ 1,000 Mbps หรือมากกกว่านี้ ซึ่งสามารถใช้กับข้อมูลขนาดใหญ่หรือภาพนิ่ง หรือข้อมูลที่ต้องรับส่งให้ได้ตามเวลาจริง-Token-Ringเป็นระบบ LAN ต่อในแบบ Ring และใช้การควบคุมแบบ Token-passing ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม สายที่ใช้จะเป็นเคเบิลแบบพิเศษมี 2 คู่ ต่อเข้ากับ Hub ที่เรียกว่า MAU ซึ่ง 1 ตัวสามารถต่อได้ 8 เครื่อง และพ่วงระหว่าง MAU แต่ละตัวเข้าด้วยกันได้อีก เกิดเป็นลักษณะที่เห็นลกสายจาก MAU ไปยังแต่ละเครื่องเหมือนกับดาวกระจายหรือแบบ Star แต่ถ้าตรวจสอบสายจะเป็นแบบวงแหวน
-FDDI เป็นมาตรฐานการต่อระบบเครือข่ายโดยอาศัยสาย Fiber Optic ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 100 Mbps กับ Fast Ethernet พื้นฐานลักษณะของ FDDI จะต่อเป็น Ring ที่มีสายสองชั้นเดินคู่ขนานกัน เพื่อสำรองในกรณีเกิดสายขาดขึ้น
4.ระบบเครือข่ายแบบไร้สายWireless LANระบบเครือข่าแบบไร้สายคือเครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุในการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องของการไม่ต้องเดินสายเหมือนกับระบบ LAN แบบอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในบ้านที่ซึ่งไม่สะดวกในการเดินสาย และเป็นที่ไม่มีปัญหาเรื่องการรบกวนของสัญญาณวิทยุมากนักการทำงานของ Wireless LANทำงานโดนใช้คลื่นวิทยุรับส่งกันระหว่างอุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง กับจุดเข้าใช้เรียกว่า “Access Point” ซึ่งเป็นตัวกลางในติดต่อถึงกัน ระหว่างอุปกรณ์รับส่งแต่ละเครื่องความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ LAN แบบไร้สายสิ่งที่ควรคำนึงถึงการใช้เครือข่ายแบบไร้สาย คือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากข้อมูลลูกส่งไปในอากาศ ซึ่งสามารถถูกดักจับได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการเข้ารหัสที่เรียกว่า WEP แต่ปัจจุบันกำลังถูกมองว่าวิธีนี้ยังไม่ปลอดภัยเท่าที่ควรจึงมีกรออกแบบมาตรฐานใหม่คือ WPA ซึ่งปลอดภัยกว่าแต่จะใช้ได้กับอุปกรณ์รุ่นใหม่ ๆ เท่านั้น อุปกรณ์ในติดตั้งระบบ Wi-Fi
1.Access Point สามารถกำหนดค่า IP ในรูปแบบอัตโนมัติ หรือ Dynamic Host Configuration Protocol สามารถเชื่อมต่อกับ Network Switch หรือ HUB ได้โดยผ่านสาย LAN สามารถทำงานในลักษณะ Router ซึ่งทำให้ผู้คนหลายคน สามารถใช้งานระบบ Broadband ได้
2.Wireless Adapter เป็นอุปกรณ์ซึ่งต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายไร้สาย โดยการทำงานของ Wireless Adapter จะเป็นลักษณะการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุแบบ Two-way ทั้งรับทั้งส่งรูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สาย1.แบบ Peer-to-peerเป็นลักษณะการเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือมากกว่านั้น เป็นการใช้งานร่วมกันของ Wireless Adapter cards โดยไม่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายแบบใช้สายเลย โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทำงานได้และขอใช้บริการเครื่องอื่นได้
2.แบบ Client/Serverเป็นลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย Access Point หรือเรียกว่า “Hot spot”ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย โดยกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อรับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมี3.แบบ Multiple access points and roamingเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับ Access Point ของเครือข่ายไร้สาย จะอยู่ในรัศมีประมาณ 500 ฟุต ภายในอาคารและ 1,000 ฟุต ภายนอกอาคาร หากสถานที่ที่ติดตั้งมีขนาดกว้างมากๆ
4.แบบ Use of an Extension Pointกรณีที่โครงสร้างของสถานที่ติดตั้งเครือข่ายแบบไร้สายมีปัญหา ผู้ออกแบบระบบอาจจะใช้ Extension Point ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สายเป็นส่วนที่ใช้เพิ่มเติมในการรับส่งสัญญาณ5.แบบ The Use of Directional Antennasระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่าง
5.การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายการทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย เครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายเรียกว่า”เซิร์ฟเวอร์”เป็นเครื่องที่ให้บริการแก่แก่เครื่องอื่น เครื่องลูกข่ายหรือเรียกว่า”ไคลเอนท์”หรือบางครั้งเรียกว่า “เวิร์กสเตชั่น” โดยทั่วทั่วไปการจัดแบ่งหน้าที่การทำงานของคอมพิเตอร์ระบบเครือข่ายไว้ 2แบบใหญ่ คือแบบที่ทุกเครื่องมีศักดิ์ศรีเท่ากันเรียกว่า Peer-to-Peer หมายถึงแต่ละเครื่องจะยอมให้เครื่องอื่น ๆ ในระบบเข้ามาใช้ข้อมูล หรืออุปกรณ์ต่าง ๆได้ โดยเสมอภาคภาคกันแบบที่เรียกว่า”Server-based” หรือ “Dedicated Server”
1.อุปกรณ์ Repeater ใช้เมื่อสายที่มีต่อมีความยาวเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด ไม่สามารถรับสัญญาณได้จึงต้องเพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า “รีพีตเตอร์” เพื่อทำหน้าที่ทวนสัญญาณ ช่วยขยายสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งบนสายแลนให้ไกลขึ้น แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถกลั่นกรองข้อมูลที่ส่งผ่านได้ ซึ่งเหมือนกับ Hub ที่ใช้กันในระบบ LAN
2.อุปกรณ์ Bridge ทำหน้าที่เป็นสะพานข้อมูลที่ส่งข้อมูลที่ส่งออกมาในเครือหนึ่งมีปลายทางอยู่ สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่เพียงเครือข่าย โดยข้อมูลที่ส่งออกมาในเครือข่ายหนึ่งมีปลายทางอยู่อีกเครือข่ายหนึ่ง บริดจ์จะส่งข้อมูลข้ามไปให้สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายใหญ่เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยเหล่านั้น
3.อุปกรณ์ Switch ทำหน้าที่รวบรวมสัญญาณหรือ เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานในลักษณะบริดจ์ แบ่งสาย 1 เส้น หรือ 1 พอร์ต เป็น 1 เครือข่าย ข้อมูลใด ๆ ที่ถูกส่งเข้ามาทางพอร์ต จะถูกต้องส่งต่อออกไปเฉพาะพอร์ตที่ต่อกับผู้รับเท่านั้น
4.อุปกรณ์ Router ทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ Node หนึ่งในระบบ หนึ่งในระบบ LAN รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อยังปลายทาง คล้ายกับ Switch และ Bridge ทำหน้าที่หลักคือ หาเส้นทางที่ดีสุดในการส่งข้อมูลต่อไปยังเครือข่ายอื่น ด
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
บทที่ 4 การนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานธุรกิจ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานธุรกิจ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับระบบงานในองค์กรและงานด้านบริหารในโลกยุคใหม่ทำให้การค้าและการดำเนินธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงให้ก้าวทันสู่ยุคของการค้ารูปแบบใหม่โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและการให้บริการไปสู่กลุ่มลูกค้าเป็นการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า คำว่า “อีคอมเมิร์ซ์” (E-Commerce/Electronics Commerce) จัดเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้องค์กร ได้เปรียบคู่แข่งขัน
ความหมายของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
อีคอมเมิร์ซ หรือชื่อแปลเป็นไทยว่า “พานิชย์อิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง การดำเนินธุรกิจซื้อขายโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-Business หมายถึงการทำกิจกรรมทุกๆ อย่างทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตที่กว้างกว่าอีคอมเมิร์ซที่เป็นการดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ค้นหาข้อมูลหรือทำงานร่วมกันได้
อีคอมเมิร์ซ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจประเภทนี้ จะต้องวางแผนให้รัดกุม ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนในระยะแรกไม่สูงและไม่ต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนักก็สามารถทำธุรกิจประเภทนี้ได้ แต่ปัจจุบันมีคู่แข่งเข้ามาในธุรกิจมาก เพราะนักลงทุนสามารถเปิดธุรกิจได้ง่ายและกำลังอยู่ในความสนใจของคนรุ่นใหม่
ความเป็นมาของอีคอมเมิร์ซ
ปัจจุบันยังคงมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบริษัทด้วยการใช้ระบบไปรษณีย์ และอีกหลายบริษัทใช้วิธีการป้อนข้อมูลลงในโปรแกรมแบบฟอร์มทางธุรกิจไม่ว่าเป็นใบสั่งซื้อใบส่งสินค้าใบเสร็จรับเงินและจัดพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์จึงจัดส่งแบบฟอร์มนั้นหรือใช้วิธีส่งแฟกซ์ทำให้บริษัทต้องสูญเสียเวลาอย่างมาก ในการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ต่อมายุคการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) จึงได้มีแนวคิดที่จะให้คอมพิวเตอร์ช่วยการค้าทั้ง 2 ฝ่ายแลกเปลี่ยนเอกสารกันทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยตรง คือ คอมพิวเตอร์ของฝ่ายหนึ่งจัดส่งเอกสารต่าง ๆ ที่เคยต้องพิมพ์ลงในกระดาษนั้นไปให้คอมพิวเตอร์ของอีกฝ่ายหนึ่งในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยผ่านระบบเครือข่ายแบบที่จัดสร้างขึ้นโดยเฉพาะหรือส่งผ่านสายโทรศัพท์ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานได้มาก แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ไม่มีเอกสารที่อยู่บนกระดาษเป็นหลักฐานให้เซ็นชื่อกำกับเหมือนก่อน นอกจากนี้โปรแกรมที่จะจัดการกับข้อมูลแต่ละฝ่ายก็มักจะเป็นโปรแกรมคนละอย่างที่ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้
วิธีแก้ไขปัญหาคือ ปัญหาแรกอาจต้องมีการเข้ารหัสพิเศษก่อนจะส่งข้อมูล เพื่อยืนยันได้ว่าผู้ที่เข้ารหัสมาก็คือฝ่ายที่เป็นคู่ค้าไม่ใช่บุคคลอื่น ส่วนปัญหาข้อสองที่โปรแกรมไม่สามารถใช้งานในรูปแบบเดียวกันได้นั้น มีการวางมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเป็นระบบที่เรียกว่า ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ EDI
แต่การนำระบบ EDI มาใช้ยังได้รับความนิยมน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการวางระบบ และดำเนินงานสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่จะให้คอมพิวเตอร์ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถรับส่งข้อมูลกันได้อย่างราบรื่นยิ่งมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากขึ้นความยุ่งยากซับซ้อนก็มากขึ้น ทำให้มีการใช้กันเฉพาะในวงการอุตสาหกรรมเฉพาะทางที่มีผู้ที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่ฝ่ายเท่านั้น
ปัจจุบันระบบอินเทอร์เน็ตเป็นที่นิยมแพร่หลาย แนวคิดในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการค้าระหว่างคอมพิวเตอร์ของแต่ละธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงนั้นก็เกิดขึ้น โดยแทนที่ระบบ EDI ซึ่งเป็นระบบของธุรกิจขนาดใหญ่ แต่กลายเป็นระบบการซื้อขายในระดับของผู้บริโภคทั่วๆไปโดยตรง ใครมีคอมพิวเตอร์สามารถต่อระบบอินเตอร์เน็ตได้ก็สามารถเข้าร่วมกับกระบวนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ทันที
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อบุคคล มีดังนี้
1. มีสินค้าและบริการราคาถูกจำหน่าย
2. ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น
3. สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4. ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5. ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6. สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7. ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8. ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อองค์กรธุรกิจ มีดังนี้
1. ขยายตลาดในระดับประเทศและระดับโลก
2. ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมาก
3. ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวล การกระจาย การเก็บและการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ 90
4. ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม
5. ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กแข่นขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6. ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ประโยชน์อีคอมเมิร์ซต่อสังคม มีดังนี้
1. สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง การจราจรไม่ติดขัด ลดปัญหามลพิษทางอากาศ
2. การซื้อสินค้าราคาถูกลง คนที่มีฐานะไม่รวยก็สามารถยกระดับมาตฐานการขายสินค้าและบิการได้
ประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. กิจการ SMEs ในประเทศกำลังพัฒนาอาจำได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางระดับโลก
2. ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆได้
3. บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง อุปสรรคการเข้าสู่ตลาดลดลง
4. ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
5. เพื่อความเข้มข้นของการแข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซ
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านเทคนิคได้แก่
1. ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
2. ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3. ซอฟต์แวร์อยู่ระหว่างการพัฒนา
4. ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ของอีคอมเมิร์ซกับแอปพลิเคชั่น
5. ต้องการWeb Server และ Network Server ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
6. การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาแพงและไม่สะดวก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านกฎหมาย มีดังนี้
1. กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมเข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน และมีลุกษณะที่แตกต่างกัน
2. การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3. ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะแตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านธุรกิจ มีดังนี้
1. วงจรผลิตภัณฑ์จะสั้นลงเพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว เกิดคู่แข่งขันเข้ามาในตลาดได้ง่าย
2. ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ ในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของอีคอมเมิร์ซมีไม่เท่ากัน
3. ภาษีและค่าธรรมเนียมจากอีคอมเมิร์ซจัดเก็บได้ยาก ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
4. ต้นทุนในการสร้างอีคอมเมิร์ซครบวงจรค่อนข้างสูง เพราะร่วมถึงค่า Hardware , Software ที่มีประสิทธิภาพ ระบบความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ การจัดการระบบเครือข่ายตลอดจนค่าจ้างบุคลากร
5. ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมากในโครงสร้างพื้นฐาน
6. เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย เนื่องจากการใช้เงินสดอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้การตรวจสอบที่มาของเงินทำได้อยาก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านอื่น ๆ มีดังนี้
1. การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ต มีมากและมีการขยายตัวเร็วมากว่าการพัฒนาของอินเทอร์เน็ต
2. สิทธิส่วนบุคคลระบบการจ่ายเงินหรือการให้ข้อมูลของลูกค้าทางอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้ขายทราบว่าผู้ซื้อเป็นใครและสามารถใช้ซอฟต์แวร์ติดตามกิจกรรมต่างหรือส่ง Spam ไปรบกวนได้
3. อีคอมเมิร์ซเหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4. ยังไม่มีการดำเนินผลการดำเนินงาน หรือวิธีการที่ดีของอีคอมเมิร์ซ เช่น การโฆษณา
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานธุรกิจ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับระบบงานในองค์กรและงานด้านบริหารในโลกยุคใหม่ทำให้การค้าและการดำเนินธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงให้ก้าวทันสู่ยุคของการค้ารูปแบบใหม่โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและการให้บริการไปสู่กลุ่มลูกค้าเป็นการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า คำว่า “อีคอมเมิร์ซ์” (E-Commerce/Electronics Commerce) จัดเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้องค์กร ได้เปรียบคู่แข่งขัน
ความหมายของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
อีคอมเมิร์ซ หรือชื่อแปลเป็นไทยว่า “พานิชย์อิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง การดำเนินธุรกิจซื้อขายโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-Business หมายถึงการทำกิจกรรมทุกๆ อย่างทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตที่กว้างกว่าอีคอมเมิร์ซที่เป็นการดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ค้นหาข้อมูลหรือทำงานร่วมกันได้
อีคอมเมิร์ซ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจประเภทนี้ จะต้องวางแผนให้รัดกุม ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนในระยะแรกไม่สูงและไม่ต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนักก็สามารถทำธุรกิจประเภทนี้ได้ แต่ปัจจุบันมีคู่แข่งเข้ามาในธุรกิจมาก เพราะนักลงทุนสามารถเปิดธุรกิจได้ง่ายและกำลังอยู่ในความสนใจของคนรุ่นใหม่
ความเป็นมาของอีคอมเมิร์ซ
ปัจจุบันยังคงมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบริษัทด้วยการใช้ระบบไปรษณีย์ และอีกหลายบริษัทใช้วิธีการป้อนข้อมูลลงในโปรแกรมแบบฟอร์มทางธุรกิจไม่ว่าเป็นใบสั่งซื้อใบส่งสินค้าใบเสร็จรับเงินและจัดพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์จึงจัดส่งแบบฟอร์มนั้นหรือใช้วิธีส่งแฟกซ์ทำให้บริษัทต้องสูญเสียเวลาอย่างมาก ในการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ต่อมายุคการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) จึงได้มีแนวคิดที่จะให้คอมพิวเตอร์ช่วยการค้าทั้ง 2 ฝ่ายแลกเปลี่ยนเอกสารกันทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยตรง คือ คอมพิวเตอร์ของฝ่ายหนึ่งจัดส่งเอกสารต่าง ๆ ที่เคยต้องพิมพ์ลงในกระดาษนั้นไปให้คอมพิวเตอร์ของอีกฝ่ายหนึ่งในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยผ่านระบบเครือข่ายแบบที่จัดสร้างขึ้นโดยเฉพาะหรือส่งผ่านสายโทรศัพท์ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานได้มาก แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ไม่มีเอกสารที่อยู่บนกระดาษเป็นหลักฐานให้เซ็นชื่อกำกับเหมือนก่อน นอกจากนี้โปรแกรมที่จะจัดการกับข้อมูลแต่ละฝ่ายก็มักจะเป็นโปรแกรมคนละอย่างที่ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้
วิธีแก้ไขปัญหาคือ ปัญหาแรกอาจต้องมีการเข้ารหัสพิเศษก่อนจะส่งข้อมูล เพื่อยืนยันได้ว่าผู้ที่เข้ารหัสมาก็คือฝ่ายที่เป็นคู่ค้าไม่ใช่บุคคลอื่น ส่วนปัญหาข้อสองที่โปรแกรมไม่สามารถใช้งานในรูปแบบเดียวกันได้นั้น มีการวางมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเป็นระบบที่เรียกว่า ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ EDI
แต่การนำระบบ EDI มาใช้ยังได้รับความนิยมน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการวางระบบ และดำเนินงานสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่จะให้คอมพิวเตอร์ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถรับส่งข้อมูลกันได้อย่างราบรื่นยิ่งมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากขึ้นความยุ่งยากซับซ้อนก็มากขึ้น ทำให้มีการใช้กันเฉพาะในวงการอุตสาหกรรมเฉพาะทางที่มีผู้ที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่ฝ่ายเท่านั้น
ปัจจุบันระบบอินเทอร์เน็ตเป็นที่นิยมแพร่หลาย แนวคิดในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการค้าระหว่างคอมพิวเตอร์ของแต่ละธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงนั้นก็เกิดขึ้น โดยแทนที่ระบบ EDI ซึ่งเป็นระบบของธุรกิจขนาดใหญ่ แต่กลายเป็นระบบการซื้อขายในระดับของผู้บริโภคทั่วๆไปโดยตรง ใครมีคอมพิวเตอร์สามารถต่อระบบอินเตอร์เน็ตได้ก็สามารถเข้าร่วมกับกระบวนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ทันที
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อบุคคล มีดังนี้
1. มีสินค้าและบริการราคาถูกจำหน่าย
2. ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น
3. สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4. ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5. ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6. สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7. ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8. ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อองค์กรธุรกิจ มีดังนี้
1. ขยายตลาดในระดับประเทศและระดับโลก
2. ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมาก
3. ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวล การกระจาย การเก็บและการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ 90
4. ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม
5. ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กแข่นขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6. ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ประโยชน์อีคอมเมิร์ซต่อสังคม มีดังนี้
1. สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง การจราจรไม่ติดขัด ลดปัญหามลพิษทางอากาศ
2. การซื้อสินค้าราคาถูกลง คนที่มีฐานะไม่รวยก็สามารถยกระดับมาตฐานการขายสินค้าและบิการได้
ประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. กิจการ SMEs ในประเทศกำลังพัฒนาอาจำได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางระดับโลก
2. ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆได้
3. บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง อุปสรรคการเข้าสู่ตลาดลดลง
4. ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
5. เพื่อความเข้มข้นของการแข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซ
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านเทคนิคได้แก่
1. ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
2. ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3. ซอฟต์แวร์อยู่ระหว่างการพัฒนา
4. ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ของอีคอมเมิร์ซกับแอปพลิเคชั่น
5. ต้องการWeb Server และ Network Server ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
6. การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาแพงและไม่สะดวก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านกฎหมาย มีดังนี้
1. กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมเข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน และมีลุกษณะที่แตกต่างกัน
2. การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3. ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะแตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านธุรกิจ มีดังนี้
1. วงจรผลิตภัณฑ์จะสั้นลงเพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว เกิดคู่แข่งขันเข้ามาในตลาดได้ง่าย
2. ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ ในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของอีคอมเมิร์ซมีไม่เท่ากัน
3. ภาษีและค่าธรรมเนียมจากอีคอมเมิร์ซจัดเก็บได้ยาก ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
4. ต้นทุนในการสร้างอีคอมเมิร์ซครบวงจรค่อนข้างสูง เพราะร่วมถึงค่า Hardware , Software ที่มีประสิทธิภาพ ระบบความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ การจัดการระบบเครือข่ายตลอดจนค่าจ้างบุคลากร
5. ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมากในโครงสร้างพื้นฐาน
6. เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย เนื่องจากการใช้เงินสดอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้การตรวจสอบที่มาของเงินทำได้อยาก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านอื่น ๆ มีดังนี้
1. การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ต มีมากและมีการขยายตัวเร็วมากว่าการพัฒนาของอินเทอร์เน็ต
2. สิทธิส่วนบุคคลระบบการจ่ายเงินหรือการให้ข้อมูลของลูกค้าทางอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้ขายทราบว่าผู้ซื้อเป็นใครและสามารถใช้ซอฟต์แวร์ติดตามกิจกรรมต่างหรือส่ง Spam ไปรบกวนได้
3. อีคอมเมิร์ซเหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4. ยังไม่มีการดำเนินผลการดำเนินงาน หรือวิธีการที่ดีของอีคอมเมิร์ซ เช่น การโฆษณา
บทที่ 6 การใช้อินเทอร์เน็ต
ความหมายของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต (Internet) คือเครือข่ายนานาชาติที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งโลก โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่ายภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกันคือ TCP/IP เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ นับว่าเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้นิยมใช้อินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกมากที่สุด
ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายอาร์พาเน็ตเป็นเครือข่ายทางการทหาร สังกัดกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 2512 ใช้ในงานวิจัย ด้านทหารและติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ต่อมามหาวิทยาลัยต่าง ๆ สนใจและขอร่วมโครงการ ทำให้เครือข่ายอาร์พาเน็ตมีขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาในการบริหารเครือข่าย ดังนั้นทางการทหารจึงขอแยกตัวออกเป็นเครือข่ายเฉพาะของกองทัพและมีการติดต่อกับเครือข่ายอาร์พาเน็ตเดิมด้วยเทคนิคการโต้ตอบ หรือโปรโตคอลแบบพิเศษที่เรียกว่า ทีซีพี/ไอพีเป็นครั้งแรก
จนกระทั่งปี 2533 ยุติเครือข่ายอาร์พาเน็ตและเปลี่ยนไปใช้ NFNET และเครือข่ายอื่น ๆ แทนและได้มีการเชื่อมต่อเครือข่ายอื่น จนเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ จนถึงทุกวันนี้และเรียกเครือข่ายนี้ว่า”อินเทอร์เน็ต”
ISP (Internet Service Provider)
ISP หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเป็นหน่วยงานที่ให้บริการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำหน้าที่เปิดกี่เชื่อมต่อบุคคลหรือองค์กร สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ สำหรับประเทศไทยมีหน่วยงานที่ให้บริการด้านนี้อยู่ 2 ประเภท คือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษาการวิจัยและหน่วยงานของรัฐ
ISP ประเภทที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ ISP รายนั้น ๆ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตอัตราค่าบริการขึ้นอยู่กับ ISP แต่ละรายข้อดีสำหรับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ก็คือ การให้บริการมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรองรับกับความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่างกันสามารถเลือกรับบริการได้ 2 วิธี คือ ซื้อชดอินเทอร์เน็ตสำเร็จรูปที่ร้านทั่วไปมาใช้และสมัครเป็นมาชิกรายเดือน
ISP ประเภทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษา การวิจับและหน่วยงานของรัฐ เช่น เครือข่าวไทยสาร กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อได้ 2 ลักษณะ ดังนี้
1. การเชื่อมต่อโดยการหมุนโมเด็ม (Remote Access) การเชื่อมต่อโดยการหมุนโมเด็มสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีได้แก่
- สมัครสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ISP ก่อน สิ่งที่ได้คือผู้ใช้และรหัสผ่าน
- สายโทรศัพท์
- โมเด็ม มีแบบ Internal Modem และ External Modem
2. กานเชื่อมแบบระบบ LAN (Local Area Network) การเชื่อมต่อเครือข่ายภายในองค์กรหากหน่วยงานมีบริการแบบ DHCP ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งหมายเลย IP Address สามารถใช้งานได้เลย
ศัพท์ที่สำคัญในอินเทอร์เน็ต
1. โปรโตคอล (Protocol)
2. ชื่อโดเมนเนม (DNS: Domain name/Domain name Server)
Internet Address คือ IP Address ที่อยู่ในรูปแบบของตัวอักษร โดยตัวย่อของ Internet Address จะมีความแตกต่างตามหน่วยงานที่ดูแลการจดชื่อโดเมน สำหรับประเทศไทยมี 7 ประเภทคือ
.net.th สำหรับหน่วยงานของไทยที่ให้บริการเครือข่าย
.co.th สำหรับองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนในไทย
.or.th สำหรับองค์กรของไทยที่ไม่แสวงหาผลกำไร
.ac.th สำหรับหน่วยงานสถาบันการศึกษาของไทย
.mi.th สำหรับหน่วยงานทางทหารของไทย
.in.th สำหรับองค์กรหรือบุคคลทั่งไปของไทย
3. เวิลด์ไวด์เว็บ (world wide web หรือ www)
4. เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server)
5. โปรโตคอลของเว็บ (HTTP)
6.เว็บเพจ (Web page)
7. เว็บไซต์ (Web Site)
8. โฮมเพจ (HomePage)
9. ภาษของเว็บ (HTML: HyperText Markup Language)
10. ยูอาร์แอล (URL: Uniform Resource Locator)
การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต
1. ด้านการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลจากห้องสมุดออนไลน์ ศึกษาบทเรียนวิชาต่าง ๆ ฝึกทำข้อสอบ เกมส์การศึกษาสำหรับเด็ก และให้บริการข้อมลข่าวสารต่าง ๆ
2. ด้านธุรกิจ ปัจจุบันได้มีธุรกิจเกิดขึ้นมากมายในรูปแบบต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า E-Commerce มีทั้งโฆษณาและการให้บริการสินค้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการโฆษณาด้วยสื่ออื่น ๆ ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตได้โดยวิธีการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตต่าง ๆ และยังสามารถหางานและสมัครงานผ่านระบบนี้ได้อีกด้วย
3. ด้านการสื่อสาร ใช้สำหรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือสามารถพูดคุยกับเพื่อนได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ทางไกล
4. ด้านการบันเทิง ข้อมูลข่าวสารทางด้านบันเทิงมีอยู่มากมายเช่น ดูภาพยนตร์ ทีวี ฟังเพลง
อีเมลและการรับส่งอีเมล
อีเมล (Electronic mail หรือ E-mail) คือ กล่องจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้ใช้สามารถรับและส่งอีเมลในอินเทอร์เน็ต เพื่อประโยชน์ด้านการสื่อสารโปรแกรมที่ใช้รับส่งอีเมลจะรับส่งผ่านทางเครื่องที่ให้บริการรับส่งเมล จะเรียกว่า “เมลเซิร์ฟเวอร์”
รูปแบบของ E-mail Address ชื่อผู้ใช้@ชื่อหน่วยงานหรือชื่อของโดเมน
การส่งอีเมล เมื่อผู้ใช้เขียนเมลโดยใช้โปรแกรมรับส่งเมลหรือใช้เว็บไซต์ที่ไปขออีเมลฟรีไคลเอนท์จะติดต่อกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์โดยใช้โปรโตคอลอีเมลจะถูกส่งมาเก็บในเครื่องเมลเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บลงในคิว เพื่อรอการจัดส่งต่อไป
การแลกเปลี่ยนอีเมลระหว่างเมลเซิร์ฟเวอร์ อีเมลที่ผู้ใช้ส่งมายังเซิร์ฟเวอร์ จะถูกจัดการโดยโปรแกรมแลกเปลี่ยนอีเมลโดยอ่านที่อยู่อีเมลปลายทาง และนำโดเมนปลายทางไปตรวจสอบกับเนมเซิร์ฟเวอร์เพื่อหาว่าเมลเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการโดยโดเมนปลายทาง จากนั้นจะติดต่อไปยังเมลเซิร์ฟเวอร์นั้น และส่งเมลไปยังเมลเซิร์ฟเวอร์ปลายทาง โดยใช้โปรโตคอลเพื่อรอให้ผ้ใช้ปลายทางมารับอีเมลไป
การรับอีเมล ผู้ใช้ปลายทางสามารถรับอีเมลได้โดยผ่านโปรแกรมรับส่งอีเมลหรือเว็บเมลโดยโปรแกรมจะติดต่อมายังเครื่องเมลเซิร์ฟเวอร์ แล้วส่งชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน เมื่อเมลเซิร์ฟเวอร์ตรวจสอบว่าวื่อผู้ใช้และรหัสผ่านถูกต้อง ก็จะอนุญาตผู้ใช้รับอีเมลได้โปรโตคอลที่ใช้ในการรับอีเมลนี้ เช่น POP3 หรือ IMAP4
POP3 = Post Office Protocol version 3
POP ถูกออกแบบสำหรับการเข้าถึงแบบ Offline คือ จดหมายอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ และผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมที่สนับสนุน POP ในการเข้าถึงจดมายระยะไกล การจัดการใด ๆกับจดหมายจะเป็นการจัดการในเครื่องของผู้ใช้เท่านั้นถึงแม้ข้อจำกัดของการเข้าถึงแบบ Offline จะทำให้เกิดความคิดที่จะทำให้ POP สามารถใช้งานในแบบ Disconnected ได้ แต่ POP ขาดคุณสมบัติที่จำเป็นบางอย่าง ส่วนการเข้าถึงแบบเสมือน Online จดหมายจะไม่ถูกลบออกจากเซิร์ฟเวอร์แต่ไม่ใช้การเข้าถึงที่แท้จริงเพราะขาดโปรโตคอลในการเข้าถึงระบบไฟล์ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์
IMAP
มีความสามารถในการเข้าถึงทั้งแบบ Offline คือการเข้าถึงโดยใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว และแบบ Online โดยในแบบ Online คือ การเข้าถึงแบบตอบโต้กับเซิร์ฟเวอร์ และเข้าถึง mailbox หลาย ๆ อันจดหมายจะไม่ถูกดึงมาแต่จะเป็นแบบโต้ตอบกับเซิร์ฟเวอร์นั้นคือ ผู้ใช้สามารถดึงเฉพาะหัวเรื่องข้อจดหมาย บางส่วนของจดหมายหรือค้นหาจดหมายที่ตรงความต้องการ โดยจดหมายที่ถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ และสามารถตั้งค่าสถานะของจดหมายต่าง ๆ เช่น ถูกลบไปแล้ว ตอบไปแล้วและจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์จนกว่าผู้ใช้จะสั่งลบ
ความหมายของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต (Internet) คือเครือข่ายนานาชาติที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งโลก โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่ายภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกันคือ TCP/IP เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ นับว่าเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้นิยมใช้อินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกมากที่สุด
ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายอาร์พาเน็ตเป็นเครือข่ายทางการทหาร สังกัดกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 2512 ใช้ในงานวิจัย ด้านทหารและติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ต่อมามหาวิทยาลัยต่าง ๆ สนใจและขอร่วมโครงการ ทำให้เครือข่ายอาร์พาเน็ตมีขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาในการบริหารเครือข่าย ดังนั้นทางการทหารจึงขอแยกตัวออกเป็นเครือข่ายเฉพาะของกองทัพและมีการติดต่อกับเครือข่ายอาร์พาเน็ตเดิมด้วยเทคนิคการโต้ตอบ หรือโปรโตคอลแบบพิเศษที่เรียกว่า ทีซีพี/ไอพีเป็นครั้งแรก
จนกระทั่งปี 2533 ยุติเครือข่ายอาร์พาเน็ตและเปลี่ยนไปใช้ NFNET และเครือข่ายอื่น ๆ แทนและได้มีการเชื่อมต่อเครือข่ายอื่น จนเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ จนถึงทุกวันนี้และเรียกเครือข่ายนี้ว่า”อินเทอร์เน็ต”
ISP (Internet Service Provider)
ISP หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเป็นหน่วยงานที่ให้บริการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำหน้าที่เปิดกี่เชื่อมต่อบุคคลหรือองค์กร สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ สำหรับประเทศไทยมีหน่วยงานที่ให้บริการด้านนี้อยู่ 2 ประเภท คือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษาการวิจัยและหน่วยงานของรัฐ
ISP ประเภทที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ ISP รายนั้น ๆ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตอัตราค่าบริการขึ้นอยู่กับ ISP แต่ละรายข้อดีสำหรับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ก็คือ การให้บริการมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรองรับกับความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่างกันสามารถเลือกรับบริการได้ 2 วิธี คือ ซื้อชดอินเทอร์เน็ตสำเร็จรูปที่ร้านทั่วไปมาใช้และสมัครเป็นมาชิกรายเดือน
ISP ประเภทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษา การวิจับและหน่วยงานของรัฐ เช่น เครือข่าวไทยสาร กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อได้ 2 ลักษณะ ดังนี้
1. การเชื่อมต่อโดยการหมุนโมเด็ม (Remote Access) การเชื่อมต่อโดยการหมุนโมเด็มสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีได้แก่
- สมัครสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ISP ก่อน สิ่งที่ได้คือผู้ใช้และรหัสผ่าน
- สายโทรศัพท์
- โมเด็ม มีแบบ Internal Modem และ External Modem
2. กานเชื่อมแบบระบบ LAN (Local Area Network) การเชื่อมต่อเครือข่ายภายในองค์กรหากหน่วยงานมีบริการแบบ DHCP ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งหมายเลย IP Address สามารถใช้งานได้เลย
ศัพท์ที่สำคัญในอินเทอร์เน็ต
1. โปรโตคอล (Protocol)
2. ชื่อโดเมนเนม (DNS: Domain name/Domain name Server)
Internet Address คือ IP Address ที่อยู่ในรูปแบบของตัวอักษร โดยตัวย่อของ Internet Address จะมีความแตกต่างตามหน่วยงานที่ดูแลการจดชื่อโดเมน สำหรับประเทศไทยมี 7 ประเภทคือ
.net.th สำหรับหน่วยงานของไทยที่ให้บริการเครือข่าย
.co.th สำหรับองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนในไทย
.or.th สำหรับองค์กรของไทยที่ไม่แสวงหาผลกำไร
.ac.th สำหรับหน่วยงานสถาบันการศึกษาของไทย
.mi.th สำหรับหน่วยงานทางทหารของไทย
.in.th สำหรับองค์กรหรือบุคคลทั่งไปของไทย
3. เวิลด์ไวด์เว็บ (world wide web หรือ www)
4. เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server)
5. โปรโตคอลของเว็บ (HTTP)
6.เว็บเพจ (Web page)
7. เว็บไซต์ (Web Site)
8. โฮมเพจ (HomePage)
9. ภาษของเว็บ (HTML: HyperText Markup Language)
10. ยูอาร์แอล (URL: Uniform Resource Locator)
การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต
1. ด้านการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลจากห้องสมุดออนไลน์ ศึกษาบทเรียนวิชาต่าง ๆ ฝึกทำข้อสอบ เกมส์การศึกษาสำหรับเด็ก และให้บริการข้อมลข่าวสารต่าง ๆ
2. ด้านธุรกิจ ปัจจุบันได้มีธุรกิจเกิดขึ้นมากมายในรูปแบบต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า E-Commerce มีทั้งโฆษณาและการให้บริการสินค้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการโฆษณาด้วยสื่ออื่น ๆ ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตได้โดยวิธีการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตต่าง ๆ และยังสามารถหางานและสมัครงานผ่านระบบนี้ได้อีกด้วย
3. ด้านการสื่อสาร ใช้สำหรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือสามารถพูดคุยกับเพื่อนได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ทางไกล
4. ด้านการบันเทิง ข้อมูลข่าวสารทางด้านบันเทิงมีอยู่มากมายเช่น ดูภาพยนตร์ ทีวี ฟังเพลง
อีเมลและการรับส่งอีเมล
อีเมล (Electronic mail หรือ E-mail) คือ กล่องจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้ใช้สามารถรับและส่งอีเมลในอินเทอร์เน็ต เพื่อประโยชน์ด้านการสื่อสารโปรแกรมที่ใช้รับส่งอีเมลจะรับส่งผ่านทางเครื่องที่ให้บริการรับส่งเมล จะเรียกว่า “เมลเซิร์ฟเวอร์”
รูปแบบของ E-mail Address ชื่อผู้ใช้@ชื่อหน่วยงานหรือชื่อของโดเมน
การส่งอีเมล เมื่อผู้ใช้เขียนเมลโดยใช้โปรแกรมรับส่งเมลหรือใช้เว็บไซต์ที่ไปขออีเมลฟรีไคลเอนท์จะติดต่อกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์โดยใช้โปรโตคอลอีเมลจะถูกส่งมาเก็บในเครื่องเมลเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บลงในคิว เพื่อรอการจัดส่งต่อไป
การแลกเปลี่ยนอีเมลระหว่างเมลเซิร์ฟเวอร์ อีเมลที่ผู้ใช้ส่งมายังเซิร์ฟเวอร์ จะถูกจัดการโดยโปรแกรมแลกเปลี่ยนอีเมลโดยอ่านที่อยู่อีเมลปลายทาง และนำโดเมนปลายทางไปตรวจสอบกับเนมเซิร์ฟเวอร์เพื่อหาว่าเมลเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการโดยโดเมนปลายทาง จากนั้นจะติดต่อไปยังเมลเซิร์ฟเวอร์นั้น และส่งเมลไปยังเมลเซิร์ฟเวอร์ปลายทาง โดยใช้โปรโตคอลเพื่อรอให้ผ้ใช้ปลายทางมารับอีเมลไป
การรับอีเมล ผู้ใช้ปลายทางสามารถรับอีเมลได้โดยผ่านโปรแกรมรับส่งอีเมลหรือเว็บเมลโดยโปรแกรมจะติดต่อมายังเครื่องเมลเซิร์ฟเวอร์ แล้วส่งชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน เมื่อเมลเซิร์ฟเวอร์ตรวจสอบว่าวื่อผู้ใช้และรหัสผ่านถูกต้อง ก็จะอนุญาตผู้ใช้รับอีเมลได้โปรโตคอลที่ใช้ในการรับอีเมลนี้ เช่น POP3 หรือ IMAP4
POP3 = Post Office Protocol version 3
POP ถูกออกแบบสำหรับการเข้าถึงแบบ Offline คือ จดหมายอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ และผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมที่สนับสนุน POP ในการเข้าถึงจดมายระยะไกล การจัดการใด ๆกับจดหมายจะเป็นการจัดการในเครื่องของผู้ใช้เท่านั้นถึงแม้ข้อจำกัดของการเข้าถึงแบบ Offline จะทำให้เกิดความคิดที่จะทำให้ POP สามารถใช้งานในแบบ Disconnected ได้ แต่ POP ขาดคุณสมบัติที่จำเป็นบางอย่าง ส่วนการเข้าถึงแบบเสมือน Online จดหมายจะไม่ถูกลบออกจากเซิร์ฟเวอร์แต่ไม่ใช้การเข้าถึงที่แท้จริงเพราะขาดโปรโตคอลในการเข้าถึงระบบไฟล์ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์
IMAP
มีความสามารถในการเข้าถึงทั้งแบบ Offline คือการเข้าถึงโดยใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว และแบบ Online โดยในแบบ Online คือ การเข้าถึงแบบตอบโต้กับเซิร์ฟเวอร์ และเข้าถึง mailbox หลาย ๆ อันจดหมายจะไม่ถูกดึงมาแต่จะเป็นแบบโต้ตอบกับเซิร์ฟเวอร์นั้นคือ ผู้ใช้สามารถดึงเฉพาะหัวเรื่องข้อจดหมาย บางส่วนของจดหมายหรือค้นหาจดหมายที่ตรงความต้องการ โดยจดหมายที่ถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ และสามารถตั้งค่าสถานะของจดหมายต่าง ๆ เช่น ถูกลบไปแล้ว ตอบไปแล้วและจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์จนกว่าผู้ใช้จะสั่งลบ
บทที่ 5 ระบบเครือข่ายเบื้องต้น
ความหมายของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่าย/คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก/ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์คือระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง นำมาเชื่อมต่อเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสารมารถใช้งานแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมถือการใช้ทรัพยากรบางอย่างของระบบร่วมกันได้
การนำเอาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้งาน
1. ใช้ทรัพยากรร่วมกัน คือเพื่อใช้อุปกรณ์ต่างร่วมกัน เช่น เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมร่วมกัน ซึ่งจะประหยัดกว่าการมีอุปกรณ์เหล่านี้หลาย ๆ ชุดสำหรับแต่ละเครื่อง
2. ใช้ข้อมูลในไฟล์ร่วมกัน คือ ข้อมลชุดเดียวกันสามารถเรียกใช้ได้จากหลาย ๆ เครื่อง เช่น ข้อมลนักเรียนนักศึกษา ข้อมลการบริหารงานงบประมาณ
3. ความสะดวกในการดูแลระบบคือทำให้สามารถดูแลและบริหารระบบได้จากที่เดียว เช่น ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบสถานการณ์ทำงาน
ประเภทของเครือข่าย
1. LAN (Local Area Network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระยะจำกัด
2. WAN (Wide Area Network) เป็นการเชื่อมต่อแลนในที่ต่าง ๆเข้าด้วยกันผ่านระบบสื่อสารอื่น ๆ
ข้อจำกัดของระบบเครือข่าย
การนำระบบเครือข่ายมาใช้งาน ผู้วางระบบจะต้องคิดให้รอบคอบว่าการต่อเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายนั้น จะทำงานได้ตามต้องการหรือไม่ และมีขีดจำกัดอย่างไร ควรเลือกใช้เทคโนโลยีแบบใดจากที่มีให้เลือกใช้มากมาย ซึ่งผลสรุปที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละงาน
ข้อจำกัดของระบบเครือข่ายมีหลายอย่าง ดังนี้
1. การเรียกใช้ข้อมูลทำได้ช้า
2. ข้อมูลไม่สามารถใช้ได้ทันที
3. ยากต่อการควบคุมดูแล
องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
2.1 อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คืออุปกรณ์เชื่อมต่อเข้าเป็นระบบเครือข่าย เช่น
1. การ์ดแลน (Network Interface Card: NIC)
2. ฮับ/สวิตช์ (Hub/Switch)
2.2 ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมต่าง ๆ
2.3 สื่อกลางนำข้อมูล (Media) สื่อกลางนำข้อมลมนระบบเครือข่าย เริ่มตั้งแต่สายเคเบิลชนิดต่าง ๆ คลื่นวิทยุแบบที่ใช้กับ Wireless LAN หรือแม้แต่ไฟเบอร์ออปติก หรือสายใยแก้วนำแสงที่ใช้นำระบบแลนไปจนถึงเครือข่ายสื่อสารระยะไกล โดยมีพื้นฐานหลัก ๆ ที่ควรพิจารณาดังนี้
สายเคเบิ้ล (Cable) ที่นิยมใช้กันมีหลายประเภท คือ
1. สายโคแอกเชี่ยล
2. สาย UTP
3. สาย STP
4. สายใยแก้วนำแสง
ลักษณะของสัญญาณไฟฟ้าที่รับส่งกัน
ปกติคอมพิวเตอร์ทำงานกับสัญญาณที่เป็นระบบดิจิตอล คือ 0 กับ 1 หรือแรงดันไฟฟ้าสงกับต่ำ ในระบบเครือข่าย การส่งข้อมลในลักษณะของสัญญาณดิจิตอล คือ ใช้ความถี่พื้นฐานของสัญญาณจึง แต่การส่งแบบนี้มีปัญหาคือ ถูกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือสัญญาณรบกวนได้ง่าย ดังนั้นจึงมีการนำเอาคลื่นความถี่สงเข้ามาใช้เป็นคลื่นพาหะโดยผสมสัญญาณข้อมูลเข้ากับคลื่นพาหะนี้ในแบบผสมของความถี่แบบเดียวกับการส่งวิทยุกระจายเสียงการส่งสัญญาณแบบผสมนี้มีเพียง 2 ระดับ คือ 0 กับ 1 ดังนั้นคลื่นที่ส่งจะมีลักษณะเป็นสองความถี่สลับกันไป
จากการใช้คลื่นพาหะสามารถแยกความต่างระหว่าง 0 กับ 1 ได้ดีโดยดูจากความถี่ซึ่งรบกวนได้ยากกว่าและการใช้สัญญาณความถี่สูงในการส่งข้อมูลเราเรียกวิธีการนี้ว่า “Broadband”
แต่เสียค่าใช้จ่ายสูงและต้องเพิ่มอุปกรณ์ในการจัดการกับสัญญาณที่ความถี่สูงในปัจจุบันระบบแลนทั่วไปจึงใช้กับการรับส่งสัญญาณแบบ Baseband เป็นหลัก
ส่วนการรับส่งสัญญาณผ่านสายไฟเบอร์ออปติก จะใช้สัญญาณแสงแบบ Broadband โดยผสมสัญญาณดิจิตอลเข้ากับสัญญาณแสง ซึ่งมีความถี่สูงกว่าคลื่นวิทยุขึ้นไปอีก ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ในอัตราสูง
ลักษณะการแบ่งกันใช้สาย
ระบบเครือข่ายแลนใช้สายสัญญาณชุดเดียวกันในการติดต่อ จึงจะต้องมีวิธีการที่จะแบ่งเวลาใช้สายสัญญาณนี้ให้ทั่วถึงกัน เพื่อไม่แต่ละเครื่องต้องรอกันนานเกินไป ก่อนจะรับส่งกันได้มีวิธีที่ใช้กัน 2 แบบ คือ
1. แบบ CSMA/CD
2. แบบ Token-passing
มาตรฐานของระบบเครือข่าย
ระบบ LAN ที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะฮาร์ดแวร์ที่ยึดหลักมาตรฐานของสถาบันวิศวกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ หรือ IEEE โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ อีเทอร์เน็ต และ Token-Ring
มาตรฐานของ Ethernet
- ความเร็ว หมายถึง ตัวบอกว่าระบบนั้นทำความเร็วได้เท่าไร ปัจจุบันมีใช้กันคือ 10, 100 หรือ 1000 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นค่าสงสุดที่ระบบ LAN นั้นทำได้ในกรณีที่ไม่มีอปสรรค์อื่นใดมาถ่วงให้ล่าช้า
- วิธีส่งสัญญาณ หมายถึง ปกติรหัสที่ใช้บอกการส่งสัญญาณทางไฟฟ้าบนระบบ Ethernet จะมี 2 ลักษณะ คือ Baseband และ Broadband ซึ่งระบบ LAN ในปัจจุบันยังเป็นแบบ Baseband
Baseband คือ ส่งเป็นสัญญาณแบบดิจิตอล 0 และ 1 หรือแรงดันไฟฟ้า 0 และ 5 โวลต์โดยไม่มีการผสมผสานสัญญาณนี้เข้ากับสัญญาณความถี่สูงอื่นใด
Broadband คือ มีการผสมสัญญาณข้อมูลที่จะส่งเข้ากับสัญญาณอนาล็อกหรือคลื่นพาหะที่มีความถี่สูง เพื่อให้ส่งได้ไกลและมีความเพี้ยนน้อยกว่าแบบแรก นอกจากนี้ยังส่งได้หลายช่องทาง
- สายที่ใช้ Ethernet แบบดั้งเดิมนั้นมีความเร็วเพียง 10 Mbps และมีการต่อสาย 3 แบบต่อมามีสายไฟเบอร์ออฟติกเพิ่มขึ้นมาและสาย UTP ก็พัฒนาขึ้นไปจนทำความเร็วได้เป็น 1000 Mbps
- Fast Ethernet และ Gigabit Ethernet
Ethernet ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มจาก 10 Mbps เป็น 1000 และ 1,000 Mbps หรือมากกว่านี้ ซึ้งสามารถใช้กับข้อมูลขนาดใหญ่หรือภาพนิ่ง หรือข้อมูลที่ต้องรับส่งให้ได้ตามเวลาจริง
-Token-Ring
เป็นระบบ LAN ต่อในแบบ Ring และใช้การควบคุมแบบ Token-passing ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม โดยในรุ่นแรก ๆ จะมีความเร็วเพียง 4 Mbps แต่ต่อมาได้ปรับปรุงเป็น 16 Mbps สายที่ใช้จะเป็นเคเบิ้ลแบบพิเศษมี 2 คู่ ต่อเข้ากับ Hub ทีเรียกว่า MAUซึ่ง 1 ตัว ต่อได้ 8 เครื่อง และพ่วงระหว่าง MAU แต่ละตัวเข้าด้วยกันได้อีก เกิดเป็นลักษณะที่เห็นลากสายจาก MAU ไปยังตัวเครื่องเหมือนกับดาวกระจายหรือเครือข่ายแบบ Star แต่ถ้าตรวจสอบสายจะเป็นแบบวงแหวน
ข้อจำกัดของ Token-Ring คือ ถ้าสายเส้นใดเส้นหนึ่งขาด Ring จะไม่ครบวงและทำงานไม่ได้
-FDDI (Fiber Distributed Data Interface)
FDDI เป็นมาตรฐานการต่อระบบเครือข่ายโดยอาศัยสาย Fiber Optic ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 100 Mbps เท่ากับ Fast Ethernet หรือ 10 เท่าของ Ethernet พื้นฐาน ลักษณะของ FDDI จะต่อไป ring ที่มีสายสองชั้นเดินค่ขนานกัน เพื่อสำรองในกรณีเกิดสายขาดขึ้น
FDDI เหมาะที่จะใช้เป็นเครือข่ายหลักหรือ Backbone ที่เชื่อมระบบ LAN หลาย ๆ วงเข้าด้วยกันโดยแต่ละวง LAN จะต้องมีตัวรวมสาย หรืออุปกรณ์ Router ที่ใช้ต่อระหว่าง LAN ทั้งวงเข้าเป็นสถานีหรือ Node หนึ่งในวงของ FDDI
ระบบเครือข่ายแบบไร้สาย
Wireless LAN
ระบบเครือข่ายแบบไร้สายคือเครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุในการรับส่งข้อมลซึ่งมีประโยขน์ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องของการไม่ต้องเดินสายเหมือนระบบ LAN แบบอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในบ้านและเป็นที่ไม่มีปัญหารบกวนของสัญญาณวิทยุมากนัก
ปัจจุบันมาตรฐาน Wireless LAN ที่นิยมใช้กันเรียกว่า IEEE802.11 ซึ่งยังแตกย่อยออกเป็นหลายแขนง แต่ที่แพร่หลายคือ IEEE802.11b ซึ่งทำความเร็วได้สูงสุด 411 Mbps และ 802.11g สามารถทำงานร่วมกับ 802.11b ได้ แต่เพิ่มความเร็วเป็น 54 Mbps
การทำงานของ Wireless LAN
ทำงานโดยใช้คลื่นวิทยุรับส่งกันระหว่างอุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง กับจุกเข้าใช้เรียกว่า “Access Point” ซึ่งเป็นตัวกลางในการติดต่อถึงกัน ระหว่างอุปกรณ์รับส่งแต่ละเครื่อง
โดยปกติระบบเครือข่ายแลนไร้สายจะมีจำนวนจำกัดเครื่องที่ต่อได้ในระบบเครื่องเดียวกัน เช่น 128 เครื่อง เพราะจะมีช่วงความถี่ที่จะแบ่งกันใช้ในจำนวนจำกัด
ความปลอดภัยของข้อมลในระบบ LAN แบบไร้สาย
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการใช้เครือข่ายแบบไร้สาย คือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากข้อมูลถูกส่งไปในอากาศ ซึ่งสามารถถูกดักจับได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการเข้ารหัสข้อมูลเดิมใช้วิธีเข้ารหัสที่เรียกว่า WEP แต่ปัจจุบันถูกมาองว่าวิธีนี้ยังไม่ปลอดภัยจึงมีการออกแบบมาตรฐานใหม่คือ WAP ซึ่งปลอดภัยกว่าตาใช้กับอุปกรณ์ใหม่ ๆ เท่านั้นมาตรฐานนี้ก็กำลังจะพัฒนาไปเป็น WPA2 หรือตามหมายเลขทางการ
ส่วนเรื่องการป้องกันการแอบเชื่อมต่อเข้ามาในระบบ LAN ไร้สาย ก็ยังมีวิธีกำหนดรหัสเครือข่ายหรือที่เรียกว่า SSID ซึ่งจะคล้าย ๆ Workgroup ในเครือข่ายของ Windows นั่นเอง โดยอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายจะต้องถูกกำหนดค่า SSID ที่ตรงกันด้วยจึงจะสามารถสื่อสารกันได้
อุปกรณ์ในการติดตั้งระบบ Wi-Fi
1. Access Point สามารถกำหนดค่า IP ในรูปแบบอัตโนมัติ หรือ Dynamic Host Configuration Protocol (DHCP) สามารถ เชื่อมกับ Network Switch หรือ HUB ได้โดยผ่านสาย LAN สามารถทำงานในลักษณะ Router ซึ่งทำให้ผู้คนหลายคนสามารถใช้งานระบบ Broadband ได้
2. Wireless Adapter เป็นอุปกรณ์ซึ่งต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายไร้สาย โดยการทำงานของ Wireless Adapter จะเป็นลักษณะการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุแบบ Two-way ทั้งรับและส่ง
ประเภทของ Wireless Adapter
1. USB Wireless
2. Adapter
3. PCI Wireless
4. Built-in Adapter
5. Compact Flash
6. (CF) Card Adapter
7. Secured Flash
8. (SF) Card Adapter
รูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สาย
1. แบบ Peer-to-peer (ad hoc mode)
2. แบบ Client/Server (Infrastructure mode)
3. แบบ Multiple access points and roaming
4. แบบ Use of an Extension Point
5. แบบ The Use of Directional Antennas
การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย
การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย เครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายเรียกว่า “เซิร์ฟเวอร์” เป็นเครื่องที่ให้บริการแก่เครื่องอื่น เครื่องลูกข่ายเรียกว่า “ไคลเอนท์”หรือบางครั้งเรียกว่า “เวิร์กสเตชั่น” โดยทั่วไปการจัดแบ่งหน้าที่การทำงานของคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่ายจะมี 2 แบบใหญ่ คือแบบที่ทุกเครื่องมีศักดิ์ศรีเท่ากันเรียกว่า Peer-to-Peer หมายถึงแต่ละเครื่องจะยอมให้เครื่องอื่น ๆ ในระบบมาใช้ข้อมูล หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยเสมอภาคกันแบบที่เรียกว่า “Server-based” หรือ “Dedicated Server”
การทำงานของระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ สามารถทำได้โดยการนำระบบ LAN หลาย ๆ วงมาเชื่อมต่อกัน โดยใช้อุปกรณ์เพิ่มเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น
1. อุปกรณ์ Repeater ใช้เมื่อสายที่ต่อมีความยาวเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด
2. อุปกรณ์ Bridge ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อเครือข่าย 2 เครือข่ายเข้าด้วยกัน
3. อุปกรณ์ Switch ทำหน้าที่รวมสัญญาณ
4. อุปกรณ์ Router ทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ Node หนึ่งในระบบ LAN
ความหมายของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่าย/คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก/ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์คือระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง นำมาเชื่อมต่อเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสารมารถใช้งานแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมถือการใช้ทรัพยากรบางอย่างของระบบร่วมกันได้
การนำเอาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้งาน
1. ใช้ทรัพยากรร่วมกัน คือเพื่อใช้อุปกรณ์ต่างร่วมกัน เช่น เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมร่วมกัน ซึ่งจะประหยัดกว่าการมีอุปกรณ์เหล่านี้หลาย ๆ ชุดสำหรับแต่ละเครื่อง
2. ใช้ข้อมูลในไฟล์ร่วมกัน คือ ข้อมลชุดเดียวกันสามารถเรียกใช้ได้จากหลาย ๆ เครื่อง เช่น ข้อมลนักเรียนนักศึกษา ข้อมลการบริหารงานงบประมาณ
3. ความสะดวกในการดูแลระบบคือทำให้สามารถดูแลและบริหารระบบได้จากที่เดียว เช่น ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบสถานการณ์ทำงาน
ประเภทของเครือข่าย
1. LAN (Local Area Network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระยะจำกัด
2. WAN (Wide Area Network) เป็นการเชื่อมต่อแลนในที่ต่าง ๆเข้าด้วยกันผ่านระบบสื่อสารอื่น ๆ
ข้อจำกัดของระบบเครือข่าย
การนำระบบเครือข่ายมาใช้งาน ผู้วางระบบจะต้องคิดให้รอบคอบว่าการต่อเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายนั้น จะทำงานได้ตามต้องการหรือไม่ และมีขีดจำกัดอย่างไร ควรเลือกใช้เทคโนโลยีแบบใดจากที่มีให้เลือกใช้มากมาย ซึ่งผลสรุปที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละงาน
ข้อจำกัดของระบบเครือข่ายมีหลายอย่าง ดังนี้
1. การเรียกใช้ข้อมูลทำได้ช้า
2. ข้อมูลไม่สามารถใช้ได้ทันที
3. ยากต่อการควบคุมดูแล
องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
2.1 อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คืออุปกรณ์เชื่อมต่อเข้าเป็นระบบเครือข่าย เช่น
1. การ์ดแลน (Network Interface Card: NIC)
2. ฮับ/สวิตช์ (Hub/Switch)
2.2 ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมต่าง ๆ
2.3 สื่อกลางนำข้อมูล (Media) สื่อกลางนำข้อมลมนระบบเครือข่าย เริ่มตั้งแต่สายเคเบิลชนิดต่าง ๆ คลื่นวิทยุแบบที่ใช้กับ Wireless LAN หรือแม้แต่ไฟเบอร์ออปติก หรือสายใยแก้วนำแสงที่ใช้นำระบบแลนไปจนถึงเครือข่ายสื่อสารระยะไกล โดยมีพื้นฐานหลัก ๆ ที่ควรพิจารณาดังนี้
สายเคเบิ้ล (Cable) ที่นิยมใช้กันมีหลายประเภท คือ
1. สายโคแอกเชี่ยล
2. สาย UTP
3. สาย STP
4. สายใยแก้วนำแสง
ลักษณะของสัญญาณไฟฟ้าที่รับส่งกัน
ปกติคอมพิวเตอร์ทำงานกับสัญญาณที่เป็นระบบดิจิตอล คือ 0 กับ 1 หรือแรงดันไฟฟ้าสงกับต่ำ ในระบบเครือข่าย การส่งข้อมลในลักษณะของสัญญาณดิจิตอล คือ ใช้ความถี่พื้นฐานของสัญญาณจึง แต่การส่งแบบนี้มีปัญหาคือ ถูกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือสัญญาณรบกวนได้ง่าย ดังนั้นจึงมีการนำเอาคลื่นความถี่สงเข้ามาใช้เป็นคลื่นพาหะโดยผสมสัญญาณข้อมูลเข้ากับคลื่นพาหะนี้ในแบบผสมของความถี่แบบเดียวกับการส่งวิทยุกระจายเสียงการส่งสัญญาณแบบผสมนี้มีเพียง 2 ระดับ คือ 0 กับ 1 ดังนั้นคลื่นที่ส่งจะมีลักษณะเป็นสองความถี่สลับกันไป
จากการใช้คลื่นพาหะสามารถแยกความต่างระหว่าง 0 กับ 1 ได้ดีโดยดูจากความถี่ซึ่งรบกวนได้ยากกว่าและการใช้สัญญาณความถี่สูงในการส่งข้อมูลเราเรียกวิธีการนี้ว่า “Broadband”
แต่เสียค่าใช้จ่ายสูงและต้องเพิ่มอุปกรณ์ในการจัดการกับสัญญาณที่ความถี่สูงในปัจจุบันระบบแลนทั่วไปจึงใช้กับการรับส่งสัญญาณแบบ Baseband เป็นหลัก
ส่วนการรับส่งสัญญาณผ่านสายไฟเบอร์ออปติก จะใช้สัญญาณแสงแบบ Broadband โดยผสมสัญญาณดิจิตอลเข้ากับสัญญาณแสง ซึ่งมีความถี่สูงกว่าคลื่นวิทยุขึ้นไปอีก ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ในอัตราสูง
ลักษณะการแบ่งกันใช้สาย
ระบบเครือข่ายแลนใช้สายสัญญาณชุดเดียวกันในการติดต่อ จึงจะต้องมีวิธีการที่จะแบ่งเวลาใช้สายสัญญาณนี้ให้ทั่วถึงกัน เพื่อไม่แต่ละเครื่องต้องรอกันนานเกินไป ก่อนจะรับส่งกันได้มีวิธีที่ใช้กัน 2 แบบ คือ
1. แบบ CSMA/CD
2. แบบ Token-passing
มาตรฐานของระบบเครือข่าย
ระบบ LAN ที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะฮาร์ดแวร์ที่ยึดหลักมาตรฐานของสถาบันวิศวกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ หรือ IEEE โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ อีเทอร์เน็ต และ Token-Ring
มาตรฐานของ Ethernet
- ความเร็ว หมายถึง ตัวบอกว่าระบบนั้นทำความเร็วได้เท่าไร ปัจจุบันมีใช้กันคือ 10, 100 หรือ 1000 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นค่าสงสุดที่ระบบ LAN นั้นทำได้ในกรณีที่ไม่มีอปสรรค์อื่นใดมาถ่วงให้ล่าช้า
- วิธีส่งสัญญาณ หมายถึง ปกติรหัสที่ใช้บอกการส่งสัญญาณทางไฟฟ้าบนระบบ Ethernet จะมี 2 ลักษณะ คือ Baseband และ Broadband ซึ่งระบบ LAN ในปัจจุบันยังเป็นแบบ Baseband
Baseband คือ ส่งเป็นสัญญาณแบบดิจิตอล 0 และ 1 หรือแรงดันไฟฟ้า 0 และ 5 โวลต์โดยไม่มีการผสมผสานสัญญาณนี้เข้ากับสัญญาณความถี่สูงอื่นใด
Broadband คือ มีการผสมสัญญาณข้อมูลที่จะส่งเข้ากับสัญญาณอนาล็อกหรือคลื่นพาหะที่มีความถี่สูง เพื่อให้ส่งได้ไกลและมีความเพี้ยนน้อยกว่าแบบแรก นอกจากนี้ยังส่งได้หลายช่องทาง
- สายที่ใช้ Ethernet แบบดั้งเดิมนั้นมีความเร็วเพียง 10 Mbps และมีการต่อสาย 3 แบบต่อมามีสายไฟเบอร์ออฟติกเพิ่มขึ้นมาและสาย UTP ก็พัฒนาขึ้นไปจนทำความเร็วได้เป็น 1000 Mbps
- Fast Ethernet และ Gigabit Ethernet
Ethernet ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มจาก 10 Mbps เป็น 1000 และ 1,000 Mbps หรือมากกว่านี้ ซึ้งสามารถใช้กับข้อมูลขนาดใหญ่หรือภาพนิ่ง หรือข้อมูลที่ต้องรับส่งให้ได้ตามเวลาจริง
-Token-Ring
เป็นระบบ LAN ต่อในแบบ Ring และใช้การควบคุมแบบ Token-passing ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม โดยในรุ่นแรก ๆ จะมีความเร็วเพียง 4 Mbps แต่ต่อมาได้ปรับปรุงเป็น 16 Mbps สายที่ใช้จะเป็นเคเบิ้ลแบบพิเศษมี 2 คู่ ต่อเข้ากับ Hub ทีเรียกว่า MAUซึ่ง 1 ตัว ต่อได้ 8 เครื่อง และพ่วงระหว่าง MAU แต่ละตัวเข้าด้วยกันได้อีก เกิดเป็นลักษณะที่เห็นลากสายจาก MAU ไปยังตัวเครื่องเหมือนกับดาวกระจายหรือเครือข่ายแบบ Star แต่ถ้าตรวจสอบสายจะเป็นแบบวงแหวน
ข้อจำกัดของ Token-Ring คือ ถ้าสายเส้นใดเส้นหนึ่งขาด Ring จะไม่ครบวงและทำงานไม่ได้
-FDDI (Fiber Distributed Data Interface)
FDDI เป็นมาตรฐานการต่อระบบเครือข่ายโดยอาศัยสาย Fiber Optic ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 100 Mbps เท่ากับ Fast Ethernet หรือ 10 เท่าของ Ethernet พื้นฐาน ลักษณะของ FDDI จะต่อไป ring ที่มีสายสองชั้นเดินค่ขนานกัน เพื่อสำรองในกรณีเกิดสายขาดขึ้น
FDDI เหมาะที่จะใช้เป็นเครือข่ายหลักหรือ Backbone ที่เชื่อมระบบ LAN หลาย ๆ วงเข้าด้วยกันโดยแต่ละวง LAN จะต้องมีตัวรวมสาย หรืออุปกรณ์ Router ที่ใช้ต่อระหว่าง LAN ทั้งวงเข้าเป็นสถานีหรือ Node หนึ่งในวงของ FDDI
ระบบเครือข่ายแบบไร้สาย
Wireless LAN
ระบบเครือข่ายแบบไร้สายคือเครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุในการรับส่งข้อมลซึ่งมีประโยขน์ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องของการไม่ต้องเดินสายเหมือนระบบ LAN แบบอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในบ้านและเป็นที่ไม่มีปัญหารบกวนของสัญญาณวิทยุมากนัก
ปัจจุบันมาตรฐาน Wireless LAN ที่นิยมใช้กันเรียกว่า IEEE802.11 ซึ่งยังแตกย่อยออกเป็นหลายแขนง แต่ที่แพร่หลายคือ IEEE802.11b ซึ่งทำความเร็วได้สูงสุด 411 Mbps และ 802.11g สามารถทำงานร่วมกับ 802.11b ได้ แต่เพิ่มความเร็วเป็น 54 Mbps
การทำงานของ Wireless LAN
ทำงานโดยใช้คลื่นวิทยุรับส่งกันระหว่างอุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง กับจุกเข้าใช้เรียกว่า “Access Point” ซึ่งเป็นตัวกลางในการติดต่อถึงกัน ระหว่างอุปกรณ์รับส่งแต่ละเครื่อง
โดยปกติระบบเครือข่ายแลนไร้สายจะมีจำนวนจำกัดเครื่องที่ต่อได้ในระบบเครื่องเดียวกัน เช่น 128 เครื่อง เพราะจะมีช่วงความถี่ที่จะแบ่งกันใช้ในจำนวนจำกัด
ความปลอดภัยของข้อมลในระบบ LAN แบบไร้สาย
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการใช้เครือข่ายแบบไร้สาย คือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากข้อมูลถูกส่งไปในอากาศ ซึ่งสามารถถูกดักจับได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการเข้ารหัสข้อมูลเดิมใช้วิธีเข้ารหัสที่เรียกว่า WEP แต่ปัจจุบันถูกมาองว่าวิธีนี้ยังไม่ปลอดภัยจึงมีการออกแบบมาตรฐานใหม่คือ WAP ซึ่งปลอดภัยกว่าตาใช้กับอุปกรณ์ใหม่ ๆ เท่านั้นมาตรฐานนี้ก็กำลังจะพัฒนาไปเป็น WPA2 หรือตามหมายเลขทางการ
ส่วนเรื่องการป้องกันการแอบเชื่อมต่อเข้ามาในระบบ LAN ไร้สาย ก็ยังมีวิธีกำหนดรหัสเครือข่ายหรือที่เรียกว่า SSID ซึ่งจะคล้าย ๆ Workgroup ในเครือข่ายของ Windows นั่นเอง โดยอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายจะต้องถูกกำหนดค่า SSID ที่ตรงกันด้วยจึงจะสามารถสื่อสารกันได้
อุปกรณ์ในการติดตั้งระบบ Wi-Fi
1. Access Point สามารถกำหนดค่า IP ในรูปแบบอัตโนมัติ หรือ Dynamic Host Configuration Protocol (DHCP) สามารถ เชื่อมกับ Network Switch หรือ HUB ได้โดยผ่านสาย LAN สามารถทำงานในลักษณะ Router ซึ่งทำให้ผู้คนหลายคนสามารถใช้งานระบบ Broadband ได้
2. Wireless Adapter เป็นอุปกรณ์ซึ่งต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายไร้สาย โดยการทำงานของ Wireless Adapter จะเป็นลักษณะการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุแบบ Two-way ทั้งรับและส่ง
ประเภทของ Wireless Adapter
1. USB Wireless
2. Adapter
3. PCI Wireless
4. Built-in Adapter
5. Compact Flash
6. (CF) Card Adapter
7. Secured Flash
8. (SF) Card Adapter
รูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สาย
1. แบบ Peer-to-peer (ad hoc mode)
2. แบบ Client/Server (Infrastructure mode)
3. แบบ Multiple access points and roaming
4. แบบ Use of an Extension Point
5. แบบ The Use of Directional Antennas
การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย
การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย เครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายเรียกว่า “เซิร์ฟเวอร์” เป็นเครื่องที่ให้บริการแก่เครื่องอื่น เครื่องลูกข่ายเรียกว่า “ไคลเอนท์”หรือบางครั้งเรียกว่า “เวิร์กสเตชั่น” โดยทั่วไปการจัดแบ่งหน้าที่การทำงานของคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่ายจะมี 2 แบบใหญ่ คือแบบที่ทุกเครื่องมีศักดิ์ศรีเท่ากันเรียกว่า Peer-to-Peer หมายถึงแต่ละเครื่องจะยอมให้เครื่องอื่น ๆ ในระบบมาใช้ข้อมูล หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยเสมอภาคกันแบบที่เรียกว่า “Server-based” หรือ “Dedicated Server”
การทำงานของระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ สามารถทำได้โดยการนำระบบ LAN หลาย ๆ วงมาเชื่อมต่อกัน โดยใช้อุปกรณ์เพิ่มเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น
1. อุปกรณ์ Repeater ใช้เมื่อสายที่ต่อมีความยาวเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด
2. อุปกรณ์ Bridge ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อเครือข่าย 2 เครือข่ายเข้าด้วยกัน
3. อุปกรณ์ Switch ทำหน้าที่รวมสัญญาณ
4. อุปกรณ์ Router ทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ Node หนึ่งในระบบ LAN
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานธุรกิจ
บทที่ 4 การนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานธุรกิจ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับระบบงานในองค์กรและงานด้านบริหารในโลกยุคใหม่ทำให้การค้าและการดำเนินธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงให้ก้าวทันสู่ยุคของการค้ารูปแบบใหม่โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและการให้บริการไปสู่กลุ่มลูกค้าเป็นการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า คำว่า “อีคอมเมิร์ซ์” (E-Commerce/Electronics Commerce) จัดเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้องค์กร ได้เปรียบคู่แข่งขัน
ความหมายของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
อีคอมเมิร์ซ หรือชื่อแปลเป็นไทยว่า “พานิชย์อิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง การดำเนินธุรกิจซื้อขายโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-Business หมายถึงการทำกิจกรรมทุกๆ อย่างทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตที่กว้างกว่าอีคอมเมิร์ซที่เป็นการดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ค้นหาข้อมูลหรือทำงานร่วมกันได้
อีคอมเมิร์ซ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจประเภทนี้ จะต้องวางแผนให้รัดกุม ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนในระยะแรกไม่สูงและไม่ต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนักก็สามารถทำธุรกิจประเภทนี้ได้ แต่ปัจจุบันมีคู่แข่งเข้ามาในธุรกิจมาก เพราะนักลงทุนสามารถเปิดธุรกิจได้ง่ายและกำลังอยู่ในความสนใจของคนรุ่นใหม่
ความเป็นมาของอีคอมเมิร์ซ
ปัจจุบันยังคงมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบริษัทด้วยการใช้ระบบไปรษณีย์ และอีกหลายบริษัทใช้วิธีการป้อนข้อมูลลงในโปรแกรมแบบฟอร์มทางธุรกิจไม่ว่าเป็นใบสั่งซื้อใบส่งสินค้าใบเสร็จรับเงินและจัดพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์จึงจัดส่งแบบฟอร์มนั้นหรือใช้วิธีส่งแฟกซ์ทำให้บริษัทต้องสูญเสียเวลาอย่างมาก ในการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ต่อมายุคการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) จึงได้มีแนวคิดที่จะให้คอมพิวเตอร์ช่วยการค้าทั้ง 2 ฝ่ายแลกเปลี่ยนเอกสารกันทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยตรง คือ คอมพิวเตอร์ของฝ่ายหนึ่งจัดส่งเอกสารต่าง ๆ ที่เคยต้องพิมพ์ลงในกระดาษนั้นไปให้คอมพิวเตอร์ของอีกฝ่ายหนึ่งในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยผ่านระบบเครือข่ายแบบที่จัดสร้างขึ้นโดยเฉพาะหรือส่งผ่านสายโทรศัพท์ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานได้มาก แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ไม่มีเอกสารที่อยู่บนกระดาษเป็นหลักฐานให้เซ็นชื่อกำกับเหมือนก่อน นอกจากนี้โปรแกรมที่จะจัดการกับข้อมูลแต่ละฝ่ายก็มักจะเป็นโปรแกรมคนละอย่างที่ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้
วิธีแก้ไขปัญหาคือ ปัญหาแรกอาจต้องมีการเข้ารหัสพิเศษก่อนจะส่งข้อมูล เพื่อยืนยันได้ว่าผู้ที่เข้ารหัสมาก็คือฝ่ายที่เป็นคู่ค้าไม่ใช่บุคคลอื่น ส่วนปัญหาข้อสองที่โปรแกรมไม่สามารถใช้งานในรูปแบบเดียวกันได้นั้น มีการวางมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเป็นระบบที่เรียกว่า ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ EDI
แต่การนำระบบ EDI มาใช้ยังได้รับความนิยมน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการวางระบบ และดำเนินงานสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่จะให้คอมพิวเตอร์ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถรับส่งข้อมูลกันได้อย่างราบรื่นยิ่งมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากขึ้นความยุ่งยากซับซ้อนก็มากขึ้น ทำให้มีการใช้กันเฉพาะในวงการอุตสาหกรรมเฉพาะทางที่มีผู้ที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่ฝ่ายเท่านั้น
ปัจจุบันระบบอินเทอร์เน็ตเป็นที่นิยมแพร่หลาย แนวคิดในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการค้าระหว่างคอมพิวเตอร์ของแต่ละธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงนั้นก็เกิดขึ้น โดยแทนที่ระบบ EDI ซึ่งเป็นระบบของธุรกิจขนาดใหญ่ แต่กลายเป็นระบบการซื้อขายในระดับของผู้บริโภคทั่วๆไปโดยตรง ใครมีคอมพิวเตอร์สามารถต่อระบบอินเตอร์เน็ตได้ก็สามารถเข้าร่วมกับกระบวนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ทันที
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อบุคคล มีดังนี้
1. มีสินค้าและบริการราคาถูกจำหน่าย
2. ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น
3. สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4. ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5. ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6. สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7. ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8. ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อองค์กรธุรกิจ มีดังนี้
1. ขยายตลาดในระดับประเทศและระดับโลก
2. ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมาก
3. ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวล การกระจาย การเก็บและการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ 90
4. ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม
5. ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กแข่นขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6. ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ประโยชน์อีคอมเมิร์ซต่อสังคม มีดังนี้
1. สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง การจราจรไม่ติดขัด ลดปัญหามลพิษทางอากาศ
2. การซื้อสินค้าราคาถูกลง คนที่มีฐานะไม่รวยก็สามารถยกระดับมาตฐานการขายสินค้าและบิการได้
ประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. กิจการ SMEs ในประเทศกำลังพัฒนาอาจำได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางระดับโลก
2. ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆได้
3. บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง อุปสรรคการเข้าสู่ตลาดลดลง
4. ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
5. เพื่อความเข้มข้นของการแข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซ
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านเทคนิคได้แก่
1. ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
2. ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3. ซอฟต์แวร์อยู่ระหว่างการพัฒนา
4. ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ของอีคอมเมิร์ซกับแอปพลิเคชั่น
5. ต้องการWeb Server และ Network Server ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
6. การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาแพงและไม่สะดวก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านกฎหมาย มีดังนี้
1. กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมเข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน และมีลุกษณะที่แตกต่างกัน
2. การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3. ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะแตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านธุรกิจ มีดังนี้
1. วงจรผลิตภัณฑ์จะสั้นลงเพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว เกิดคู่แข่งขันเข้ามาในตลาดได้ง่าย
2. ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ ในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของอีคอมเมิร์ซมีไม่เท่ากัน
3. ภาษีและค่าธรรมเนียมจากอีคอมเมิร์ซจัดเก็บได้ยาก ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
4. ต้นทุนในการสร้างอีคอมเมิร์ซครบวงจรค่อนข้างสูง เพราะร่วมถึงค่า Hardware , Software ที่มีประสิทธิภาพ ระบบความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ การจัดการระบบเครือข่ายตลอดจนค่าจ้างบุคลากร
5. ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมากในโครงสร้างพื้นฐาน
6. เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย เนื่องจากการใช้เงินสดอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้การตรวจสอบที่มาของเงินทำได้อยาก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านอื่น ๆ มีดังนี้
1. การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ต มีมากและมีการขยายตัวเร็วมากว่าการพัฒนาของอินเทอร์เน็ต
2. สิทธิส่วนบุคคลระบบการจ่ายเงินหรือการให้ข้อมูลของลูกค้าทางอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้ขายทราบว่าผู้ซื้อเป็นใครและสามารถใช้ซอฟต์แวร์ติดตามกิจกรรมต่างหรือส่ง Spam ไปรบกวนได้
3. อีคอมเมิร์ซเหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4. ยังไม่มีการดำเนินผลการดำเนินงาน หรือวิธีการที่ดีของอีคอมเมิร์ซ เช่น การโฆษณา
บทที่ 4 การนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานธุรกิจ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับระบบงานในองค์กรและงานด้านบริหารในโลกยุคใหม่ทำให้การค้าและการดำเนินธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงให้ก้าวทันสู่ยุคของการค้ารูปแบบใหม่โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและการให้บริการไปสู่กลุ่มลูกค้าเป็นการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า คำว่า “อีคอมเมิร์ซ์” (E-Commerce/Electronics Commerce) จัดเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้องค์กร ได้เปรียบคู่แข่งขัน
ความหมายของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
อีคอมเมิร์ซ หรือชื่อแปลเป็นไทยว่า “พานิชย์อิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง การดำเนินธุรกิจซื้อขายโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-Business หมายถึงการทำกิจกรรมทุกๆ อย่างทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตที่กว้างกว่าอีคอมเมิร์ซที่เป็นการดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ค้นหาข้อมูลหรือทำงานร่วมกันได้
อีคอมเมิร์ซ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจประเภทนี้ จะต้องวางแผนให้รัดกุม ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนในระยะแรกไม่สูงและไม่ต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนักก็สามารถทำธุรกิจประเภทนี้ได้ แต่ปัจจุบันมีคู่แข่งเข้ามาในธุรกิจมาก เพราะนักลงทุนสามารถเปิดธุรกิจได้ง่ายและกำลังอยู่ในความสนใจของคนรุ่นใหม่
ความเป็นมาของอีคอมเมิร์ซ
ปัจจุบันยังคงมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบริษัทด้วยการใช้ระบบไปรษณีย์ และอีกหลายบริษัทใช้วิธีการป้อนข้อมูลลงในโปรแกรมแบบฟอร์มทางธุรกิจไม่ว่าเป็นใบสั่งซื้อใบส่งสินค้าใบเสร็จรับเงินและจัดพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์จึงจัดส่งแบบฟอร์มนั้นหรือใช้วิธีส่งแฟกซ์ทำให้บริษัทต้องสูญเสียเวลาอย่างมาก ในการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ต่อมายุคการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) จึงได้มีแนวคิดที่จะให้คอมพิวเตอร์ช่วยการค้าทั้ง 2 ฝ่ายแลกเปลี่ยนเอกสารกันทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยตรง คือ คอมพิวเตอร์ของฝ่ายหนึ่งจัดส่งเอกสารต่าง ๆ ที่เคยต้องพิมพ์ลงในกระดาษนั้นไปให้คอมพิวเตอร์ของอีกฝ่ายหนึ่งในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยผ่านระบบเครือข่ายแบบที่จัดสร้างขึ้นโดยเฉพาะหรือส่งผ่านสายโทรศัพท์ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานได้มาก แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ไม่มีเอกสารที่อยู่บนกระดาษเป็นหลักฐานให้เซ็นชื่อกำกับเหมือนก่อน นอกจากนี้โปรแกรมที่จะจัดการกับข้อมูลแต่ละฝ่ายก็มักจะเป็นโปรแกรมคนละอย่างที่ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้
วิธีแก้ไขปัญหาคือ ปัญหาแรกอาจต้องมีการเข้ารหัสพิเศษก่อนจะส่งข้อมูล เพื่อยืนยันได้ว่าผู้ที่เข้ารหัสมาก็คือฝ่ายที่เป็นคู่ค้าไม่ใช่บุคคลอื่น ส่วนปัญหาข้อสองที่โปรแกรมไม่สามารถใช้งานในรูปแบบเดียวกันได้นั้น มีการวางมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเป็นระบบที่เรียกว่า ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ EDI
แต่การนำระบบ EDI มาใช้ยังได้รับความนิยมน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการวางระบบ และดำเนินงานสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่จะให้คอมพิวเตอร์ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถรับส่งข้อมูลกันได้อย่างราบรื่นยิ่งมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากขึ้นความยุ่งยากซับซ้อนก็มากขึ้น ทำให้มีการใช้กันเฉพาะในวงการอุตสาหกรรมเฉพาะทางที่มีผู้ที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่ฝ่ายเท่านั้น
ปัจจุบันระบบอินเทอร์เน็ตเป็นที่นิยมแพร่หลาย แนวคิดในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการค้าระหว่างคอมพิวเตอร์ของแต่ละธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงนั้นก็เกิดขึ้น โดยแทนที่ระบบ EDI ซึ่งเป็นระบบของธุรกิจขนาดใหญ่ แต่กลายเป็นระบบการซื้อขายในระดับของผู้บริโภคทั่วๆไปโดยตรง ใครมีคอมพิวเตอร์สามารถต่อระบบอินเตอร์เน็ตได้ก็สามารถเข้าร่วมกับกระบวนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ทันที
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อบุคคล มีดังนี้
1. มีสินค้าและบริการราคาถูกจำหน่าย
2. ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น
3. สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4. ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5. ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6. สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7. ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8. ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อองค์กรธุรกิจ มีดังนี้
1. ขยายตลาดในระดับประเทศและระดับโลก
2. ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมาก
3. ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวล การกระจาย การเก็บและการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ 90
4. ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม
5. ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กแข่นขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6. ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ประโยชน์อีคอมเมิร์ซต่อสังคม มีดังนี้
1. สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง การจราจรไม่ติดขัด ลดปัญหามลพิษทางอากาศ
2. การซื้อสินค้าราคาถูกลง คนที่มีฐานะไม่รวยก็สามารถยกระดับมาตฐานการขายสินค้าและบิการได้
ประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. กิจการ SMEs ในประเทศกำลังพัฒนาอาจำได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางระดับโลก
2. ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆได้
3. บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง อุปสรรคการเข้าสู่ตลาดลดลง
4. ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
5. เพื่อความเข้มข้นของการแข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซ
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านเทคนิคได้แก่
1. ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
2. ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3. ซอฟต์แวร์อยู่ระหว่างการพัฒนา
4. ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ของอีคอมเมิร์ซกับแอปพลิเคชั่น
5. ต้องการWeb Server และ Network Server ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
6. การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาแพงและไม่สะดวก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านกฎหมาย มีดังนี้
1. กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมเข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน และมีลุกษณะที่แตกต่างกัน
2. การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3. ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะแตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านธุรกิจ มีดังนี้
1. วงจรผลิตภัณฑ์จะสั้นลงเพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว เกิดคู่แข่งขันเข้ามาในตลาดได้ง่าย
2. ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ ในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของอีคอมเมิร์ซมีไม่เท่ากัน
3. ภาษีและค่าธรรมเนียมจากอีคอมเมิร์ซจัดเก็บได้ยาก ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
4. ต้นทุนในการสร้างอีคอมเมิร์ซครบวงจรค่อนข้างสูง เพราะร่วมถึงค่า Hardware , Software ที่มีประสิทธิภาพ ระบบความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ การจัดการระบบเครือข่ายตลอดจนค่าจ้างบุคลากร
5. ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมากในโครงสร้างพื้นฐาน
6. เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย เนื่องจากการใช้เงินสดอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้การตรวจสอบที่มาของเงินทำได้อยาก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านอื่น ๆ มีดังนี้
1. การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ต มีมากและมีการขยายตัวเร็วมากว่าการพัฒนาของอินเทอร์เน็ต
2. สิทธิส่วนบุคคลระบบการจ่ายเงินหรือการให้ข้อมูลของลูกค้าทางอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้ขายทราบว่าผู้ซื้อเป็นใครและสามารถใช้ซอฟต์แวร์ติดตามกิจกรรมต่างหรือส่ง Spam ไปรบกวนได้
3. อีคอมเมิร์ซเหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4. ยังไม่มีการดำเนินผลการดำเนินงาน หรือวิธีการที่ดีของอีคอมเมิร์ซ เช่น การโฆษณา
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552
แบบฝึกหัดบทที่ 3
ตอนที่ 1
1. องค์ประกอบพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 อย่าง ได้แก่
- 1.ฮาร์ดแวร์ Hardware
2.ซอฟต์แวร์ Software
3.บุคลากรPropleware
4.ข้อมูลData/Information
2. การทำงานของฮาร์ดแวร์แบ่งออกเป็น 5 หน่วย ได้แก่
- 1.หน่วยนำข้อมูลเข้าInput Unit
2.หน่วยประมวลผลกลางCentral Processing Unit
3.หน่วยความจำหลักPrimary Storage
4.หน่วยเก็บข้อมูลสำรองSecondary Storage
5.หน่วยแสดงผลOutput Unit
3.หน่วยนำข้อมูลเข้า Input Unit ทำหน้าที่
- หน่วยนำข้อมูลเข้าทำหน้าที่รับข้อมูลหรือคำสั่งจากผู้ใช้เข้าสู้ระบบคอมพิวเตอร์ แล้วนำไปประมวลผล ได้แก่ เมาส์ คีบอร์ด จอสัมผัสหรือทัชสกรีน ปากกาแสง ไมโครโฟน
4.หน่วยประมวลผลกลางคือ หรือซีพียูโปรเซลเซอร์ หรือไมโครชิป คือสมองของพีซีที่ควบคุมการทำงานทั้งระบบ ภายในไมโครคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่ควบคุมการทำงานและประมวลผลข้อมูลที่ได้จากหน่วยนำข้อมูลเข้า ตามคำสั่งต่างๆ ในโปรแกรมที่เตรียมไว้และส่งต่อไปยังส่วนแสดงผลข้อมูล
มีองค์ประกอบคือ
- หน่วยควบคุม
- หน่วยคำนวณและตรรกะ หรือ เอแอลยู
5.หน่วยความจำหลักมี 2 ประเภท ได้แก่
- หน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียวหรือหน่วยความจำถาวร เรียกว่า ROM
- หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้เรียกว่า RAM
6.หน่วยความจำถาวร (ROM) คือ
- หน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียวหรือหน่วยความจำถาวร เป็นหย่วยความจำที่เก็บชุดคำสั่งที่ใช้ในการเริ่มต้นในการทำงาน หรือชุดคำสั่งสำคัญของคอมพิวเตอร์
7.หน่วยความจำชั่วคราว (RAM) คือ
- หน่วยความจำแบบแก้ไขได้ หรือหน่วยความจำชั่วคราว ซึ่งเป็นที่เก็บโปรแกรมและข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีหน่วยความจำนี้ ซีพีจะทำงานไม่ได้เลย เนื่องจากหน่วยความจำแรมเป็นที่เก็บข้อมูลทุกอย่างที่ซีพียูใช้ในขณะกำลังทำงานอยู่ เพราะอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลอื่น จะมีความเร็วในการอ่านช้ามาก
8.หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) มีหน้าที่
- เพื่อจัดเก็บข้อมูลในรูปของสื่อต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ในอนาคตได้ เพราะไม่สามารถเก็บข้อมูลในหน่วยความจำหลัก เนื่องจากข้อมูลจะหายเมื่อปิดเครื่อง จำเป็นต้องหาอุปกรณ์ข้อมูลสำรอง
9.ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- 1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
2. ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software)
10.พื้นฐานการทำงานของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยหน่วย
- 1.หน่วยประมวลผลกลาง(Central Processing Unit)
2.หน่วยความจำหลัก (Primary Storage)
3.หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)
4.หน่วยรับและแสดงผลข้อมูล (Input/Output Unit)
5.ระบบบัส (System Bus)
ตอนที่ 2
1.ข้อใดคืออุปกรณ์รับข้อมูล
- ง.ถูกทุกข้อ
2.อุปกรณ์ข้อใดสามารถแสดงผลของข้อมูลและนำเข้าข้อมูลได้
- ง.เครื่องอ่านบาร์โคด
3.หน่วยประมวลผลกลางมีองค์ประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง
- ค.ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
4.การแสดงผลข้อมูลบนจอภาพมีกี่ลักษณะ
- ก.2ลักษณะ
5.ข้อใดคือการทำงานแบบเท็กซ์โหมด
- ข.แสดงผลเฉพาะตัวอัษร
6.เมนบอร์ด (Mainbord) คืออะไร
- ง.แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์
7.ข้อใดคือลักษณะของจอแบบซีอาร์ที
- ก.การทำงานอาศัยหลอดแก้วแสดงผล
8.ซอฟต์แวร์ระบบคืออะไร
- ค.ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
9.ข้อใด ไม่ใช่ การทำงานของระบบปฏิบัติการ
- ง.ถูกทุกข้อ
10.ข้อใดคือระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์ส
- ง.ถูกทุกข้อ
11.solaris หมายถึงอย่างไร
- ก.ระบบปฏิบัตการเครือข่าย
12.โปรแกรมยูทิลิตี้ หรือเรียกกันว่าอย่างไร
- ข.โปรแกรมอรรถประโยชน์
13.ยูทิลิตี้ข้อใดติดตั้งมากับระบบปฏิบัติการวินโดวส์
- ก.โปรแกรม Windows Explrer
14.ข้อใดคือโปรแกรมสำเร็จรูปด้านธุรกิจ
- ง.Microsoft Excel
15.ข้อใดคือส่วนประกอบของหน่วยประมวณผลกลาง
- ง.ถูกทุกข้อ
1. องค์ประกอบพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 อย่าง ได้แก่
- 1.ฮาร์ดแวร์ Hardware
2.ซอฟต์แวร์ Software
3.บุคลากรPropleware
4.ข้อมูลData/Information
2. การทำงานของฮาร์ดแวร์แบ่งออกเป็น 5 หน่วย ได้แก่
- 1.หน่วยนำข้อมูลเข้าInput Unit
2.หน่วยประมวลผลกลางCentral Processing Unit
3.หน่วยความจำหลักPrimary Storage
4.หน่วยเก็บข้อมูลสำรองSecondary Storage
5.หน่วยแสดงผลOutput Unit
3.หน่วยนำข้อมูลเข้า Input Unit ทำหน้าที่
- หน่วยนำข้อมูลเข้าทำหน้าที่รับข้อมูลหรือคำสั่งจากผู้ใช้เข้าสู้ระบบคอมพิวเตอร์ แล้วนำไปประมวลผล ได้แก่ เมาส์ คีบอร์ด จอสัมผัสหรือทัชสกรีน ปากกาแสง ไมโครโฟน
4.หน่วยประมวลผลกลางคือ หรือซีพียูโปรเซลเซอร์ หรือไมโครชิป คือสมองของพีซีที่ควบคุมการทำงานทั้งระบบ ภายในไมโครคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่ควบคุมการทำงานและประมวลผลข้อมูลที่ได้จากหน่วยนำข้อมูลเข้า ตามคำสั่งต่างๆ ในโปรแกรมที่เตรียมไว้และส่งต่อไปยังส่วนแสดงผลข้อมูล
มีองค์ประกอบคือ
- หน่วยควบคุม
- หน่วยคำนวณและตรรกะ หรือ เอแอลยู
5.หน่วยความจำหลักมี 2 ประเภท ได้แก่
- หน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียวหรือหน่วยความจำถาวร เรียกว่า ROM
- หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้เรียกว่า RAM
6.หน่วยความจำถาวร (ROM) คือ
- หน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียวหรือหน่วยความจำถาวร เป็นหย่วยความจำที่เก็บชุดคำสั่งที่ใช้ในการเริ่มต้นในการทำงาน หรือชุดคำสั่งสำคัญของคอมพิวเตอร์
7.หน่วยความจำชั่วคราว (RAM) คือ
- หน่วยความจำแบบแก้ไขได้ หรือหน่วยความจำชั่วคราว ซึ่งเป็นที่เก็บโปรแกรมและข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีหน่วยความจำนี้ ซีพีจะทำงานไม่ได้เลย เนื่องจากหน่วยความจำแรมเป็นที่เก็บข้อมูลทุกอย่างที่ซีพียูใช้ในขณะกำลังทำงานอยู่ เพราะอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลอื่น จะมีความเร็วในการอ่านช้ามาก
8.หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) มีหน้าที่
- เพื่อจัดเก็บข้อมูลในรูปของสื่อต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ในอนาคตได้ เพราะไม่สามารถเก็บข้อมูลในหน่วยความจำหลัก เนื่องจากข้อมูลจะหายเมื่อปิดเครื่อง จำเป็นต้องหาอุปกรณ์ข้อมูลสำรอง
9.ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- 1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
2. ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software)
10.พื้นฐานการทำงานของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยหน่วย
- 1.หน่วยประมวลผลกลาง(Central Processing Unit)
2.หน่วยความจำหลัก (Primary Storage)
3.หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)
4.หน่วยรับและแสดงผลข้อมูล (Input/Output Unit)
5.ระบบบัส (System Bus)
ตอนที่ 2
1.ข้อใดคืออุปกรณ์รับข้อมูล
- ง.ถูกทุกข้อ
2.อุปกรณ์ข้อใดสามารถแสดงผลของข้อมูลและนำเข้าข้อมูลได้
- ง.เครื่องอ่านบาร์โคด
3.หน่วยประมวลผลกลางมีองค์ประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง
- ค.ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
4.การแสดงผลข้อมูลบนจอภาพมีกี่ลักษณะ
- ก.2ลักษณะ
5.ข้อใดคือการทำงานแบบเท็กซ์โหมด
- ข.แสดงผลเฉพาะตัวอัษร
6.เมนบอร์ด (Mainbord) คืออะไร
- ง.แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์
7.ข้อใดคือลักษณะของจอแบบซีอาร์ที
- ก.การทำงานอาศัยหลอดแก้วแสดงผล
8.ซอฟต์แวร์ระบบคืออะไร
- ค.ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
9.ข้อใด ไม่ใช่ การทำงานของระบบปฏิบัติการ
- ง.ถูกทุกข้อ
10.ข้อใดคือระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์ส
- ง.ถูกทุกข้อ
11.solaris หมายถึงอย่างไร
- ก.ระบบปฏิบัตการเครือข่าย
12.โปรแกรมยูทิลิตี้ หรือเรียกกันว่าอย่างไร
- ข.โปรแกรมอรรถประโยชน์
13.ยูทิลิตี้ข้อใดติดตั้งมากับระบบปฏิบัติการวินโดวส์
- ก.โปรแกรม Windows Explrer
14.ข้อใดคือโปรแกรมสำเร็จรูปด้านธุรกิจ
- ง.Microsoft Excel
15.ข้อใดคือส่วนประกอบของหน่วยประมวณผลกลาง
- ง.ถูกทุกข้อ
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
สรุปบทที่ 2 ความหมายและประเภทของคอมพิวเตอร์
บทนำศึกษาเกี่ยวกัยความหมายของคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ ประเภทของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ยุคใหม่ คอมพิวพิวเตอร์ในอนาคต ปัญหาและข้อจำกัดของการใช้งานคอมพิวเตอร์
1. ความหมายของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ (computer) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอ่าน และบันทึกข้อมูลตลอดจนรับคำสั่ง เพื่อแก้ปัญหาหรือทำการทำงานที่สลับซับซ้อน แสดงผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ มีไว้สำหรับผ่อนแระงกายและสมองของมนุษย์ ความสำคัญของคอมพิวเตอร์ประการหนึ่งก็คือ ความสามารถประมวลผลข้อมูลได้อัตโนมัติตามโปรแกรมที่มนุษย์ปัอนคำสั่งให้ทำ และแสดงผลลัพธ์ออกมาทางอุปกรณ์แสดงผล โดยผลลัพธืที่ได้จากการประมวลผลคือข้อมูลหรือสารสนเทศ (Information)
2. ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์สามารถนำมาเชื่อมต่อกัน เพื่อให้ผู้ที่อยู่ห่างไกลสารารถเข้ามาใช้และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ง่าย เช่น เชื่อมต่อผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หน่วยงานหรือบริษัทก็นำมาคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน เช่น ควบครุมและตรวจสอบสินค้าคงคลังบันทึกข้อมูลและเรียกดูประวัติของนักเรียน นักศึกษา ดูแลระบบให้บริการลูกค้า เป็นต้น
คอมพิวเตอร์มีบทบาทและความสำคัญกับชีวิตประจำวันของมนุษย์แทบทุกสายงานที่ต้องนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน โดยสังเกตได้จากศัพท์ที่มีคำนำหน้าโดยใช้อักษรย่อ "E" (Electronic) มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น
E-Banking ธนาคารอิเล้กทรอนิกส์
E-Service บริการออนไลน์
E-Learing การเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
E-Society การพัฒนาด้านสังคม
E-Gocenment การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสารมาใช้ประโยชน์ในการบริการ
ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ที่นิยมเอาไปใช้ในงานด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. คอมพิวเตอร์กับการใช้งานของภาครัฐ คือ การนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งานทะเบียนราษฎร์ เช่น แจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ เปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ หรือทำบัตรประชาชนซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างมาก
2.คอมพิวเตอร์กับงานธุรกิจทั่วไป คือ การนำเอาคอมพิวเตอร์เตอร์เข้ามาใช้งานเพื่อประโยชน์ของการประมวลผลที่รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยมือ เช่น การนำเอาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดการงานในสำนักงานซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้กันมาที่สุดคือ Microsoft Word
3. คอมพิวเตอร์กับงานสายการบิน คือ การนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้มาใช้เกี่ยวกับการเรื่องของการสำรองที่นั้งผู้โดยสาร วึ่งสามารถทำให้การตรวจเช็ครายการต่าง ๆ เกี่ยวกับเที่ยวบิน ข้อมูลการเดินทาง
4.คอมพิวเตอร์เกี่ยวกับงานด้านการศึกษา เรียก E-Education นำเสื่อแบบมัลติมีเดียประกอกด้วยรูปภาพเสียงพูดและใส่เทคนิคการนำเสนอ มีแบบฝึกหัดเพื่อให้ผู้เรียนสามารถที่จะฝึกหัดทบทวน
5.คอมพิวเตอร์กับธุรกิจการนำเข้าและส่งออกสินค้า เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการนำเข้าและการส่งออกสินค้า
6.คอมพิวเอตร์กับงานธนาคาร ช่วยด้านการบริการ เรียกกันว่า E-Banking
7.คอมพิวเตอร์กับงานวิทยาศาสตร์ ช่วยวิเคราะห์และตรวจสวบข้อมูลต่าง ๆ ทำการทดลอง วิจัยทางวิทยาศาสตร์ คำนวณ จำลองแบบ สร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์
8.คอมพิวเตอร์กับงานการแพทย์ ช่วยวิจัยโรคและตรวจสอบอาการคนไข้ เช่น วัดคลื่นหัวใจ วัดเคลท่อนสมอง เครื่องเอกซ์เรย์ ระบบข่ายฐานข้อมูลคนไข้
ประเภทของคอมพิวเตอร์ (ลักษณะของฐานข้อมูลมี 3 ประเภท)
1.อนาล็อกคอมพิวเตอร์ ใช้กับงานเฉพราะอย่าง ใช้หลักการวัด โดยใช้ค่าทางคณิตศาสตร์รับข้อมูล
ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้มาก ได้แก่ เครื่องวัดสายตา ตรวจคลื่นสมอง
2.ดิจิตอลคอมพิวเตอร์ ทำงานโดยใช้หลักการนับ เก็บข้อมูลเป็นเลขฐาน 2 มีความละเอียดมากกว่าแบบอนาล็อก เก็บข้อมูลได้มากกว่า
3.ไฮบริดคอมพิวเตอร์ รับข้อมูลได้ทั้ง 2 แบบ อนาล็อกและดิจิตอล มาผสมกัน นำมาใช้ทางวิทยาศาสตร์ ควบคุมกระบวนการทางอุตสาหกรรม
คอมพิวเตอร์แบ่งตามขนาดและความสามารถ มี 5 ประเภท
1.ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประมวลผลสูง ราคาแพง มีสมรรถณะสูง ประมวลผลพร้อมกันภายใน 1 นาที ส่วนใหญ่ใช้ในงานด้านวอทยาศาสตร์ โดยเฉพราะการสร้างโมเดลของคณิตศาสตร์ ที่เรียกว่า ซิมูเลชั่น (Simulation) สำรวจ แผ่นดินไหว แหล่งน้ำมัน พยากรณือากาศ ประเทศไทยมีซุปเปอรืคอมพิวเตอร์ที่ Nectec มี 2 เครื่อง
2.เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ ทำงานร่วมกับอุปกรณ์หลาย ๆ อย่าง สามารถเก็บข้อมูลที่มีปริมาณมาก ๆ เช่น ระบบจองที่นั่งสายการบิน ระบบเอทีเอ็ม มีผู้ใช้หลายคนในเวลาเดี๋ยวกัน หรือ การประมวลผลแบบเวลาเรียก Time sharing
3.มินิคอมพิวเตอร์ สร้างขึ้นเพื่อใช้กับงานเฉพราะทาง ส่วนมากใช้กับงานอุตสาหกรรม
4.ไมโคตอมพิวเตอร์ เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุด ราคาถูก หรือ เรียกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เรียกสั้น ๆ ว่า พีซี เช่น โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ตพีซี
5.คอมพิวเตอร์มือถือ บริษัทแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ผลิตคอมพิวเตอร์แบบมือถือชื่อว่า นิวตัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ บริษัท 3 com เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่าย ผลิตตอมพิวเตอร์มือถือชื่อ ปาล์ม เป็นคอมพิวเตอร์มือถือขนาดเล็ก มีหน่วยความจำไม่มาก ประสบความสำเร็จมาก ต่อไมโคซอฟต์ผลิตวินโดวส์ซีอี CE
และ ผลิตตอมพิวเตอร์ HP คอมแพคคาสิโอ คอมพิวเตอร์มือถือ ที่ชื่อว่า พ็อกเก็ตพีซี ประโยชน์ จัดการข้อมูลประจำวัน จดบันทึกนัดหมาย เป็นไดอารีส่วนตัว จดที่อยู่ นามบัตร ตารางการทำงาน เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต รับส่งอีเมล
คอมพิวเตอร์ในอนาคต
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ทำงานแทนมนุษย์ มนุษย์เรียกคอมพิวเตอร์ว่าสมองกล เพราะคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักรที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น หุ่นยนต์หรื่อโรบอต (Robot)
คือเครื่องจักรกลที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อนำหุ่นยนต์มาช่วยในการทางแพทย์
ความสามารถในทางวิจัย หุ่นยนต์สามารถทำการสำรวจงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกับมนุษย์ เช่น งานสำรวจใต้น้ำ สำรวจท้องทะเลหรือมหาสมุทร
ปัญหาและข้อจำกัดของการใช้งานคอมพิวเตอร์
การนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ ช่วยให้การทำงานเร็วและสะดวก สามารถแบ่งภาระงานของมนุษย์ได้อย่างมาก
1.คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้ามาแทนมนุษย์ได้ 100 % เพราะมนุษย์เป็นคนสร้างหุ่นยนต์ขุ้นมาและเป็นคนออกคำสั่งคอมพิวเตอร์ทำงานได้อยู่ดี
2.แม้จะมีความสามารถในเรื่องของการคิดและตัดสินใจแทนมนุษย์ แต่เป็นบางเรื่องบางกรณีเท่านั้น
3.ได้รับข้อมูลมาอย่างไรก็ประมวณผลไปตามนั้น
ปัญหาของการใช้งานคอมพิวเตอร์ ที่พบมากที่สุดก็คือ
1.ความรู้ไม่ทันเทคโนโลยี ของผู้ที่ขาดทักษะบางประการ เช่น ปัยหาไวรัสที่แพร่กระจาย
2.ปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ที่เมมากขึ้น
3.มนุษย์ต้องรู้จักเรื่องใช้งานให้ถูกวิธี
4.ติดตามข่าวสารเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอ
5.ตระหนักถึงจริยธรรมในการใช้งานและไม่สร้างความเสียหายแก่ผู้อื่น
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
(1).ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งแต่ละคำมีความหมายดังนี้
1.2 สารสนเทศ หมายถึงข่าวสารที่ได้รับจากข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆนำมาคำนวณทางสถิติหรือผ่ายกระบวนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึงการประยุกต์เอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาจัดการสารสนเทศที่ต้องการโดยอาสัยเครื่องทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ตลอดจนกระบวนการดำเนินงานสารสนเทศ ตั้งแต่การเก็บรวบนวมข้อมูล การประมวลผล การแสดงผลลัพธ์ การทำสำเนา และการสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อให้ได้สารสนเทศ และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
(2). บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศความก้าวหน้าทางด้านวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายต่อการดำรงชีวิตเป็นอันมาก อาทิเช่น
1.เทคโนโลยีช่วยเสริมปัจจัยพื้นฐาน เช่น การเพราะปลูก ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่มห่ม ยารักษาโรค
2.เทคโนโลยีช่วยให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น สร้างที่พักอาศัยที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน เป็นต้น
3.เทคโนโลยีช่วยทำให้การผลิตสินค้าและบริการต่างๆที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้มากขึ้น เช่น การดูสินค้าหรือราคา เป็นต้น
4.เทคโนโลยีช่วยทำให้ระบบการผลิต สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมาก มีราคาถูกลง และได้สินค้าที่มีคุณภาพ
5.เทคโนโลยีช่วยทำให้การติต่อสื่อสารเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วการสื่อสารที่เชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึงให้ประชากรในโลกสามารถติดต่อสื่อสารและรับฟังข่าวสารจากทั่วทุกมุม
(3).องค์ประกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศประกอบขึ้นด้วยเทคโนโลยีสองสาขา คือ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อสารและคมนาคม โดยมีรายละเอียดแต่ละเทคโนโลยีดังต่อไปนี้
1.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องทางอิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยอุปกรณืต่างๆต่อเชื่อกันเรียกว่า "ฮาร์ดแวร์" จำทำงานร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า "ซอฟแวร์" ประกอบด้วย
1.1 ฮาร์ดแวร์ ประกอกด้วย 5 ส่น คือ
1. อุปกรณ์รับข้อมูล
2. อุปกรณ์แสดงผล
3.หน่วยประมวลผลกราง
4.หน่วยความจำหลัก
5. ซอฟต์แวร์
5.1 ซอฟต์แวร์ระบบ มีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบ่งเป็น 3 ชนิดคือ อุปกรณ์ต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX)
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (DOS)
- โปรมแกรมระบบปฏิบัติการ windows XP
2.เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมใช้ในการติดต่อสื่อสาร รับส่งข้อมูลจากที่ไกลๆเป็นการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ ช่วยในการเผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใช้หลายอื่นๆเป็นไปยังสะดวกรวดเร็ว
(4).ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศเนื่องจากองค์ประกอบต่างๆของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการพัฒนาให้มีความสามารถและประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้องค์การธุรกิจต้องนำความสามารถและความรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการดำเนินงานด้านต่างๆ เช่น
1.ช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการทำงาน อีกทั้งยังช่วยในการลดต้นทุนในการผลิต
2.ช่วยจัดระบบสารสนเทศที่มีมากมายให้มีระเบียบ ทำให้สะดวกรวดเร็ว และง่ายต่อการจัดเก็บและค้นหาข้อมูล
3.ช่วยให้การสื่อสารมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดปัญหาเรื่องระยะเวลา โดยนำระบบเครือข่ายและโทรศัพท์เข้ามาช่วย เช่น ระบบอินเตอร์เน็ต
4.เทคโนโลยีสารสนเทศบางอย่างเป็นอัตโนมัติ สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้จาดกแหล่งอื่น เมื่อใดก็ได้
5.ทำให้มีการกระจายโอกาศการเรียนรู้ เช่น มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล
5.การเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกออกเป็น2หัวข้อ คือ
1.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน คือการนำเทคโนดลยีสารสนเทศมาใช้ในธุรกิจ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านการรับส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายดินเตอร์เน็ต
2.แนวโน้มเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต6.ประโยชน์ของเทคดนโลยสารสนเทศ1.ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3.ช่วยให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศที่กระจายไปทั่วทุกแห่ง3.ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ
4.ประโยชน์ต่อการป้องกันประเทศ
ใบงานที่ 11.ยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้งานด้านต่างๆในปัจจุบัน- นำเอาเทคโนโลยีระบบสื่อสารมาประยุกต์ใช้กับเครื่องอำนวยสะดวกต่างๆ
เช่น ควบคุมการเปิดปิดไฟฟ้าในบ้านผ่านโทรศัพท์ ควบคุมระบบปรับอากาศ ตรวจสอบหมายเลขเรียกเข้าภายในบ้าน
2.อธิบายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในงานด้านต่างๆ- การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการผลิตสินค้าทำให้สามารถผลิตสินค้าได้ในจำนวนมากและมีราคาที่ถูกลงแบบฝึกหัดบทที่ 1ตอนที่11.ความหมายของคำว่า "เทคโนโลยี"(Technologyคือ- สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุ
2.ความหมายของคำว่า "สารสนเทศ" (Information)คือ- ข่าวสารที่ได้จากข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆนำมาคำนวณทางสถิติหรือผ่านกระบวนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
3.ความหมายของคำว่า "เทคโนดลยีสารสนเทศ"(Information Technology)คือ- การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาจัดการสารสนเทศที่ต้องการดดยอาศัยเครื่องมือทางเทคโนโลยีใหม่ เช่น เทคโนดลยีด้านคอมพิวเตอร์
4 .ความหมายของคำว่า "เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์" คือ- เป็นเครื่องมือทางอิเกทรอนิกส์ที่สามารถจดจำข้อมูลต่างๆ และปฎิบัติตามคำสั่งเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ต่อเชื่อกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ ซึ่งแวร์แวร์จะทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์
5 .ความหมายของคำว่า "เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม" คือ- การเผยแพร่และแลกเปลี่ยนสารสนเทศ ให้ง่ายมากขึ้น และสามารถกระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วนและทันเหตุการณ์
6 .องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่-เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีโทรคมนาคม
7 .ตัวอย่างประโยชน์ที่ได้รับจากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใข้ในองค์กร คือ- 1.ช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการทำงาน2.ช่วยจัดระบบสารสนเทศที่มีอยู่มากให้เป็นระบบ3.ช่วยให้การสื่อสารมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น
8 .ตัวอย่างโปรแกรมปฏิบัติการ (อย่างน้อย 3 โปรแกรม) ได้แก่-1.โปรแกรมปฏิบัติการยูนิกซ์2.โปรแกรมปฏิบัติการ (DOS)3.โปรแกรมปฏิบัติการ Windows XP
9 .ยกตัวอย่างแนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต คือ- อาจมีการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบจากโมเลกุลที่มีความเร็วสูงสุด ซึ่งมีโครงสร้างแบบคริสตัล และมีขนาดเล็กมากจนสามารถพกติดตัวได้ โดยใช้ไฟฟ้าน้อยมาก
10 .ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อสิ่งแวดล้อม คือ-ใช้เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลเช่นใช้ภาพถ่ายทางอากาศจากดาวเทียมตรวจสอบสภาพการถูกทำลาย การตรวจสอบเขตป่าสงวนด้วยเครื่องบอกตำแหน่งผ่านดาวเทียม ทำให้ทราบว่าที่ใดอยู่ในเขตพื้นที่สงวน
ตอนที่2
1.ข้อใดคือความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ - ง.ถูกทุกข้อ
2.ข้อใดคือกระบวนการดำเนินงานสารสนเทศ - ค.การสื่อสาร
3.ข้อใด ไมใช่ อุปกรณ์ใช้สำหรับประมวลผล -ก.จอภาพแบบ LCD
4.อุปกรณ์ใดที่ใช้สำหรับทำสำเนา -ง.ถูกทั้งข้อ ก. และ ค.
5.การสื่อสารโทรคมนาคมหมายถึงข้อใด -ง.ถูกทุกข้อ
6.เครื่องมือที่สำคัญ ในการเก็บบันทึกข้อมูลและการประมวลผลข้อมูล
-ข.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์7.ข้อใดทำให้สังคมยุคเกษตรกรรมเปลี่ยนมาเป็นยุคอุตสาหกรรมและยุคของข้อมูลข่าวสาร-ก.เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม
8.ข้อใดคือผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่ๆด้านลบ - ง.ถูกทุกข้อ
9.กระทรวงไอซีทีมีชื่อเต็มว่าอย่างไร -ก. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
10.ข้อใดคือหน้าที่ของกระทรวงไอซีที -ค.ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
11.บทบาทเทคโนโลยีช่วยเสริมปัจจัยพื้นฐาน - ง.ถูกทุกข้อ
12.องค์ประกอบใดคือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ -ง.ถูกทั้งข้อ ข. และ ค.
13.เทคโนโลยีสารสนเทศมีการใช้งานกี่รูปแบบ -ง.6รูปแบบ14.เทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)หมายถึงข้อใด-
ก. การประกอบธุรกรรมทางการค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
15.ข้อใดคือประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ-
ง. ถูกทุกข้อ
เทคโนโลยีสารสนเทศ(Information Technotogy) เรียกสั้น ๆ ว่า ไอที (IT) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and communication Technology) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ไอทีซี (IcT) ประกอบด้วยคำว่า เทคโนโลยี และคำว่า สารสนเทศ นำมารวมกัน ซึ่งแต่ละคำมีความหมายดังนี้
1.2 สารสนเทศ หมายถึงข่าวสารที่ได้รับจากข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆนำมาคำนวณทางสถิติหรือผ่ายกระบวนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึงการประยุกต์เอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาจัดการสารสนเทศที่ต้องการโดยอาสัยเครื่องทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ตลอดจนกระบวนการดำเนินงานสารสนเทศ ตั้งแต่การเก็บรวบนวมข้อมูล การประมวลผล การแสดงผลลัพธ์ การทำสำเนา และการสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อให้ได้สารสนเทศ และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
(2). บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศความก้าวหน้าทางด้านวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายต่อการดำรงชีวิตเป็นอันมาก อาทิเช่น
1.เทคโนโลยีช่วยเสริมปัจจัยพื้นฐาน เช่น การเพราะปลูก ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่มห่ม ยารักษาโรค
2.เทคโนโลยีช่วยให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น สร้างที่พักอาศัยที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน เป็นต้น
3.เทคโนโลยีช่วยทำให้การผลิตสินค้าและบริการต่างๆที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้มากขึ้น เช่น การดูสินค้าหรือราคา เป็นต้น
4.เทคโนโลยีช่วยทำให้ระบบการผลิต สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมาก มีราคาถูกลง และได้สินค้าที่มีคุณภาพ
5.เทคโนโลยีช่วยทำให้การติต่อสื่อสารเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วการสื่อสารที่เชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึงให้ประชากรในโลกสามารถติดต่อสื่อสารและรับฟังข่าวสารจากทั่วทุกมุม
(3).องค์ประกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศประกอบขึ้นด้วยเทคโนโลยีสองสาขา คือ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อสารและคมนาคม โดยมีรายละเอียดแต่ละเทคโนโลยีดังต่อไปนี้
1.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องทางอิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยอุปกรณืต่างๆต่อเชื่อกันเรียกว่า "ฮาร์ดแวร์" จำทำงานร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า "ซอฟแวร์" ประกอบด้วย
1.1 ฮาร์ดแวร์ ประกอกด้วย 5 ส่น คือ
1. อุปกรณ์รับข้อมูล
2. อุปกรณ์แสดงผล
3.หน่วยประมวลผลกราง
4.หน่วยความจำหลัก
5. ซอฟต์แวร์
5.1 ซอฟต์แวร์ระบบ มีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบ่งเป็น 3 ชนิดคือ อุปกรณ์ต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX)
- โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (DOS)
- โปรมแกรมระบบปฏิบัติการ windows XP
2.เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมใช้ในการติดต่อสื่อสาร รับส่งข้อมูลจากที่ไกลๆเป็นการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ ช่วยในการเผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใช้หลายอื่นๆเป็นไปยังสะดวกรวดเร็ว
(4).ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศเนื่องจากองค์ประกอบต่างๆของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการพัฒนาให้มีความสามารถและประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้องค์การธุรกิจต้องนำความสามารถและความรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการดำเนินงานด้านต่างๆ เช่น
1.ช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการทำงาน อีกทั้งยังช่วยในการลดต้นทุนในการผลิต
2.ช่วยจัดระบบสารสนเทศที่มีมากมายให้มีระเบียบ ทำให้สะดวกรวดเร็ว และง่ายต่อการจัดเก็บและค้นหาข้อมูล
3.ช่วยให้การสื่อสารมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดปัญหาเรื่องระยะเวลา โดยนำระบบเครือข่ายและโทรศัพท์เข้ามาช่วย เช่น ระบบอินเตอร์เน็ต
4.เทคโนโลยีสารสนเทศบางอย่างเป็นอัตโนมัติ สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้จาดกแหล่งอื่น เมื่อใดก็ได้
5.ทำให้มีการกระจายโอกาศการเรียนรู้ เช่น มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล
5.การเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกออกเป็น2หัวข้อ คือ
1.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน คือการนำเทคโนดลยีสารสนเทศมาใช้ในธุรกิจ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านการรับส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายดินเตอร์เน็ต
2.แนวโน้มเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต6.ประโยชน์ของเทคดนโลยสารสนเทศ1.ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3.ช่วยให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศที่กระจายไปทั่วทุกแห่ง3.ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ
4.ประโยชน์ต่อการป้องกันประเทศ
ใบงานที่ 11.ยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้งานด้านต่างๆในปัจจุบัน- นำเอาเทคโนโลยีระบบสื่อสารมาประยุกต์ใช้กับเครื่องอำนวยสะดวกต่างๆ
เช่น ควบคุมการเปิดปิดไฟฟ้าในบ้านผ่านโทรศัพท์ ควบคุมระบบปรับอากาศ ตรวจสอบหมายเลขเรียกเข้าภายในบ้าน
2.อธิบายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในงานด้านต่างๆ- การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการผลิตสินค้าทำให้สามารถผลิตสินค้าได้ในจำนวนมากและมีราคาที่ถูกลงแบบฝึกหัดบทที่ 1ตอนที่11.ความหมายของคำว่า "เทคโนโลยี"(Technologyคือ- สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุ
2.ความหมายของคำว่า "สารสนเทศ" (Information)คือ- ข่าวสารที่ได้จากข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆนำมาคำนวณทางสถิติหรือผ่านกระบวนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
3.ความหมายของคำว่า "เทคโนดลยีสารสนเทศ"(Information Technology)คือ- การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาจัดการสารสนเทศที่ต้องการดดยอาศัยเครื่องมือทางเทคโนโลยีใหม่ เช่น เทคโนดลยีด้านคอมพิวเตอร์
4 .ความหมายของคำว่า "เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์" คือ- เป็นเครื่องมือทางอิเกทรอนิกส์ที่สามารถจดจำข้อมูลต่างๆ และปฎิบัติตามคำสั่งเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ต่อเชื่อกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ ซึ่งแวร์แวร์จะทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์
5 .ความหมายของคำว่า "เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม" คือ- การเผยแพร่และแลกเปลี่ยนสารสนเทศ ให้ง่ายมากขึ้น และสามารถกระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วนและทันเหตุการณ์
6 .องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่-เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีโทรคมนาคม
7 .ตัวอย่างประโยชน์ที่ได้รับจากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใข้ในองค์กร คือ- 1.ช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการทำงาน2.ช่วยจัดระบบสารสนเทศที่มีอยู่มากให้เป็นระบบ3.ช่วยให้การสื่อสารมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น
8 .ตัวอย่างโปรแกรมปฏิบัติการ (อย่างน้อย 3 โปรแกรม) ได้แก่-1.โปรแกรมปฏิบัติการยูนิกซ์2.โปรแกรมปฏิบัติการ (DOS)3.โปรแกรมปฏิบัติการ Windows XP
9 .ยกตัวอย่างแนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต คือ- อาจมีการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบจากโมเลกุลที่มีความเร็วสูงสุด ซึ่งมีโครงสร้างแบบคริสตัล และมีขนาดเล็กมากจนสามารถพกติดตัวได้ โดยใช้ไฟฟ้าน้อยมาก
10 .ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อสิ่งแวดล้อม คือ-ใช้เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลเช่นใช้ภาพถ่ายทางอากาศจากดาวเทียมตรวจสอบสภาพการถูกทำลาย การตรวจสอบเขตป่าสงวนด้วยเครื่องบอกตำแหน่งผ่านดาวเทียม ทำให้ทราบว่าที่ใดอยู่ในเขตพื้นที่สงวน
ตอนที่2
1.ข้อใดคือความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ - ง.ถูกทุกข้อ
2.ข้อใดคือกระบวนการดำเนินงานสารสนเทศ - ค.การสื่อสาร
3.ข้อใด ไมใช่ อุปกรณ์ใช้สำหรับประมวลผล -ก.จอภาพแบบ LCD
4.อุปกรณ์ใดที่ใช้สำหรับทำสำเนา -ง.ถูกทั้งข้อ ก. และ ค.
5.การสื่อสารโทรคมนาคมหมายถึงข้อใด -ง.ถูกทุกข้อ
6.เครื่องมือที่สำคัญ ในการเก็บบันทึกข้อมูลและการประมวลผลข้อมูล
-ข.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์7.ข้อใดทำให้สังคมยุคเกษตรกรรมเปลี่ยนมาเป็นยุคอุตสาหกรรมและยุคของข้อมูลข่าวสาร-ก.เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม
8.ข้อใดคือผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่ๆด้านลบ - ง.ถูกทุกข้อ
9.กระทรวงไอซีทีมีชื่อเต็มว่าอย่างไร -ก. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
10.ข้อใดคือหน้าที่ของกระทรวงไอซีที -ค.ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
11.บทบาทเทคโนโลยีช่วยเสริมปัจจัยพื้นฐาน - ง.ถูกทุกข้อ
12.องค์ประกอบใดคือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ -ง.ถูกทั้งข้อ ข. และ ค.
13.เทคโนโลยีสารสนเทศมีการใช้งานกี่รูปแบบ -ง.6รูปแบบ14.เทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)หมายถึงข้อใด-
ก. การประกอบธุรกรรมทางการค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
15.ข้อใดคือประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ-
ง. ถูกทุกข้อ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)